ปรับแต่งการตั้งค่าการให้ความยินยอม

เราใช้คุกกี้เพื่อช่วยให้คุณสามารถไปยังส่วนต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและทำหน้าที่บางอย่าง คุณจะพบข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับคุกกี้ทั้งหมดภายใต้หมวดหมู่ความยินยอมแต่ละประเภทด้านล่าง คุกกี้ที่ได้รับการจัดหมวดหมู่ว่า "จำเป็น" จะถูกจัดเก็บไว้ในเบราว์เซอร์ของคุณ เนื่องจากมีความจำเป็นต่อการทำงานของฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์... 

ใช้งานอยู่เสมอ

คุกกี้ที่จำเป็นมีความสำคัญต่อฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์ และเว็บไซต์จะไม่สามารถทำงานได้ตามวัตถุประสงค์หากไม่มีคุกกี้เหล่านี้

คุกกี้เหล่านี้ไม่จัดเก็บข้อมูลที่สามารถระบุตัวบุคคลได้

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้แบบฟังก์ชันนอลช่วยทำหน้าที่บางอย่าง เช่น แบ่งปันเนื้อหาของเว็บไซต์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย รวบรวมความคิดเห็น และฟีเจอร์อื่นๆ ของบุคคลที่สาม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้วิเคราะห์ใช้เพื่อทำความเข้าใจวิธีการที่ผู้เยี่ยมชมโต้ตอบกับเว็บไซต์ คุกกี้เหล่านี้ช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวชี้วัด เช่น จำนวนผู้เข้าชม อัตราตีกลับ แหล่งที่มาของการเข้าชม ฯลฯ

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้ประสิทธิภาพใช้เพื่อทำความเข้าใจและวิเคราะห์ดัชนีประสิทธิภาพหลักของเว็บไซต์ซึ่งจะช่วยให้สามารถมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้นแก่ผู้เยี่ยมชม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้โฆษณาใช้เพื่อส่งโฆษณาที่ได้รับการปรับแต่งตามการเข้าชมก่อนหน้านี้ และวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณา

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

#สหรัฐฯ


จับตาตัวเลขจ้างงานสหรัฐฯ กระทบตลาดหุ้นทั่วโลก ลงทุนอย่างไร?

จับตาตัวเลขจ้างงานสหรัฐฯ กระทบตลาดหุ้นทั่วโลก ลงทุนอย่างไร?

                หุ้นวิชั่น - บล.หยวนต้า จับตาการรายงานตัวเลขจ้างงานสหรัฐฯ คืนนี้ นอกเหนือจากความกังวลต่อการปรับขึ้นภาษีนำเข้าเท่าเทียม จะส่งผลให้นักเศรษฐศาสตร์คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจได้รับผลกระทบเชิงลบอย่างมีนัยสำคัญ และเสี่ยงเข้าสู่สภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปี 2025 การรายงานตัวเลขเศรษฐกิจวันนี้ยังตอกย้ำความกังวลดังกล่าวคือดัชนี ISM PMI ภาคการบริการเดือนมี.ค. อยู่ที่เพียง 50.8 จุด ต่ำกว่าคาด และลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ที่ 53.5 จุด                 ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงใกล้เคียงระดับ 4.0% หลังตลาดเริ่มให้น้ำหนักว่า Fed อาจปรับลดดอกเบี้ย 4 ครั้ง รวม 100 bps ในช่วงที่เหลือของปี การรายงานตัวเลขจ้างงานสหรัฐฯ คืนนี้จะมีบทบาทที่สำคัญเป็นพิเศษ!                 ความกังวลต่อสภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ทำให้ดัชนีหุ้น S&P500 ปรับตัวลดลงถึง -4.8% ฝ่ายวิจัยประเมินการรายงานตัวเลขจ้างงานคืนนี้จะเป็นปัจจัยกำหนดทิศทางการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นทั่วโลก ในช่วงต้นสัปดาห์หน้า ตลาดคาด (1) Nonfarm payrolls เพิ่มขึ้น 1.37 แสนตำแหน่ง (2) อัตราว่างงานที่ 4.1% และ (3) อัตราการปรับขึ้นของค่าจ้างรายชั่วโมงที่ +3.9% YoY                 หากออกมาแย่กว่าคาด จะเสริมความกังวลต่อสภาวะเศรษฐกิจทำให้ตลาดสินทรัพย์เสี่ยงปรับตัวลง แต่คาดจะเป็นบวกต่อตลาดตราสารหนี้ (แนะนำกองทุน UGIS-N และ MU Bond) และหุ้นในกลุ่ม Yield Play เช่นกลุ่ม REITs & IFFs ไฟแนนซ์, และโรงไฟฟ้า

ส่อง 24 หุ้นส่งออกสหรัฐฯ โดนเต็มๆ ทรัมป์ขึ้นภาษีนำเข้ารอบใหม่

ส่อง 24 หุ้นส่งออกสหรัฐฯ โดนเต็มๆ ทรัมป์ขึ้นภาษีนำเข้ารอบใหม่

           หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ระบุ หนักกว่าที่คิด! "วันปลดปล่อยอเมริกา" ทรัมป์กางรายชื่อประเทศเก็บภาษีนำเข้าใหม่! ไทยโดนภาษีหนักกว่าจีนที่ 36% ขณะที่เวียดนามโดนภาษี 46%            InnovestX มองผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าใหม่ของสหรัฐฯ ต่อตลาดหุ้นไทย ดังนี้ โดยมองมาตรการภาษีตอบโต้สหรัฐฯ ที่เก็บไทยในอัตรา 36% จะกระทบทางตรงต่อสินค้าสำคัญของไทยที่ส่งออกไปยังสหรัฐ ดังนี้ 1. ยานยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ - มองเป็นลบต่อกลุ่มยานยนต์ โดยประเทศไทยส่งออกรถยนต์ไปสหรัฐคิดเป็น 9% ของการส่งออกรถยนต์ และคิดเป็น 6% ของการผลิตรถยนต์ (AH SAT STANLY NYT) และกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ (KCE, DELTA, HANA) 2. เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ - มองเป็นลบต่อกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ (DELTA HANA KCE) 3. ยางและผลิตภัณฑ์ยาง - มองเป็นลบต่อกลุ่มยางและถุงมือยาง (STA STGT มีส่งออกไปสหรัฐโดยตรง ขณะที่ NER จะได้รับผลกระทบทางอ้อมจากลูกค้าจีนที่ส่งออกยางไปยังสหรัฐ) 4. สินค้าเกษตร ได้แก่ ข้าว อาหารสุนัขและแมว ทูน่าและผลิตภัณฑ์ทูน่า กุ้งและผลิตภัณฑ์กุ้ง มะพร้าวและผลิตภัณฑ์มะพร้าว สัปปะรดกระป๋อง - มองเป็นลบต่อ TU CFRESH COCOCO PLUS MALEE AAI ITC 5. อัญมณีและเครื่องประดับ - มองเป็นลบต่อผู้ส่งออกเครื่องประดับอย่าง PDJ            ขณะที่มองส่งผลกระทบทางอ้อมต่อการลงทุนและเศรษฐกิจไทย อาจส่งผลให้เกิดการชะลอการลงทุนและการชะลอการขอสินเชื่อเพื่อส่งออก และเกิด Sentiment ลบต่อบรรยากาศการลงทุน 1. นิคมอุตสาหกรรม- มองนโยบายครั้งนี้อาจส่งผลกระทบให้ลูกค้าชะลอการตัดสินใจซื้อที่ดิน ในกรณีที่ร้ายแรงที่สุดอาจส่งผลกระทบต่อ Backlog บางส่วน หุ้น ที่เกี่ยวข้อง AMATA WHA FTREIT (ความต้องการในการเช่าโรงงานและคลังสินค้าลดลง) 2. ธนาคาร - ส่งผลกระทบทางอ้อมในแง่อัตราการเติบโตของสินเชื่อและคุณภาพสินทรัพย์เล็กน้อย

บล.พาย แนะกลยุทธ์เด็ด คัดหุ้นถูก - ปันผลสูง เช็ก!

บล.พาย แนะกลยุทธ์เด็ด คัดหุ้นถูก - ปันผลสูง เช็ก!

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ระบุว่า Pi Daily ผลประชุม FED อาจสะท้อนถึง Stagflation ในสหรัฐฯ ตลาดจึงคาดหวังถึงการผ่อนคลายในระยะถัดไป หากเงินเฟ้อไม่ร้อนแรงจนเกินไป FED ก็อาจลดดอกเบี้ยมากกว่า 2 ครั้ง เป็นปัจจัยหนุนตลาดหุ้นระยะสั้น แต่ทองคำยังคงเดินหน้าต่อเนื่อง           ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดบวก 383 จุด (+0.92%) หลังจาก FED มีมติคงดอกเบี้ยตามที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ พร้อมส่งสัญญาณลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดบวก 0.3% หลังสหรัฐฯรายงานสต็อกน้ำมันดิบลดลง           เมื่อคืนที่ผ่านมา FED ได้คงดอกเบี้ยไว้ระดับเดิม สอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์กันไว้ อย่างไรก็ตามมุมมองต่อเศรษฐกิจเริ่มเปลี่ยนไปเพราะประเมินเศรษฐกิจสหรัฐฯจะขยายตัวเพียง 1.7%YoY จากคาดการณ์ครั้งก่อนหน้าที่ 2.1%YoY พร้อมกับปรับเงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 2.7%YoY จากคาดการณ์ครั้งก่อนที่ 2.5%YoY โดยประเมินดอกเบี้ยปลายปี 25 ไว้ที่ 3.9% ปัจจุบันค่ากลางของดอกเบี้ย FED อยู่ที่ 4.4% หากค่าเฉลี่ยดอกเบี้ยปลายปีอยู่ที่ 3.9% ก็เท่ากับว่าจะลดดอกเบี้ยอีก 0.5% ซึ่งอาจแบ่งเป็น 0.25% 2 ครั้ง โดยเท่ากับประมาณการครั้งก่อนหน้าในการประชุมเดือน ธ.ค. 24 แต่อย่างไรก็ตามจุดน่าสนใจคือทิศทางต่อเศรษฐกิจที่ดูอ่อนแรงลง ก็เป็นไปได้ที่หากเงินเฟ้อลดลงได้ผลจากสงครามการค้ามิได้แรงมากนัก อาจะเห็นการลดดอกเบี้ยที่มากกว่า 2 ครั้งก็เป็นไปได้ เพราะภาวะดังกล่าวกำลังสะท้อนว่า FED มองเศรษฐกิจสหรัฐฯเข้าสู่ Stagflation (เศรษฐกิจโตต่ำ เงินเฟ้อขยายตัวสูง) ถ้อยแถลงของประธาน FED ระบุไว้ว่าการเกิดเศรษฐกิจถดถอยนั้นแม้นักวิเคราะห์หลายคนจะปรับเพิ่มโอกาสเกิด แต่สำหรับ FED นั้นการที่เศรษฐกิจตกต่ำแรงโอกาสเป็นไปได้ยังต่ำ สำหรับการขึ้นกำแพงภาษีกับประเทศต่างๆของทรัมป์ FED มองว่ามาตรวัดความคาดหวังเงินเฟ้อในระยะสั้นบางตัวปรับสูงขึ้นเพราะทาง FED เห็นสิ่งนี้ทั้งตลาดและผู้ตอบแบบสำรวจ โดยการบริหารทิศทางนโยบายการเงินจากนี้หากเกิดเหตุไม่คาดคิดเช่นอัตราการว่างงานขยับขึ้นสูงหรือเงินเฟ้อลดลงเร็วกว่าที่คาดไว้ก็สามารถผ่อนปรนนโยบายได้ หลังจากทราบข้อมูลทั้งหมดพบว่า US Bond Yield ปรับลง สะท้อนมุมมองผ่อนคลายนโยบายจากนักลงทุนและ CME FED Watch ให้น้ำหนักลดดอกเบี้ยครั้งถัดไปในช่วง มิ.ย.           ทั้งนี้ระยะสั้นเป็นบวกกับกลุ่มการเงิน (MTC TIDLOR) ด้านปัจจัยในประเทศวานนี้ SET ปรับขึ้นมาปิดบวก 1.1% และเป็นการปรับขึ้นในทุกๆ Sector หลังมีรายงานว่านักลงทุนต่างประเทศเริ่มมองหุ้นไทยในทิศทางบวกจาก Valuation ที่ไม่แพงและเชื่อว่า สะท้อนปัจจัยกดดันต่างๆไปมากแล้วและมี ThaiESGx เป็นแรงหนุนเสริม ซึ่งเราก็เห็นด้วยกับมุมมองข้างต้นเมื่อประกอบกับ FED ดำเนินนโยบายที่ไม่เข้มงวดจึงอาจส่งเสริมให้ตลาดหุ้นไทยค่อยๆฟื้นตัว           วันนี้ประเมิน SET เคลื่อนไหวในกรอบ 1180 – 1200 เชิงกลยุทธ์การลงทุนแนะสะสมได้เช่นเดิมแต่ยังเน้นย้ำหาหุ้นพื้นฐานดี ราคาหุ้นไม่แพง และมีปันผลในระดับ 2% ขึ้นไป อาทิ ศูนย์การค้า (CPN) นิคมอุตสาหกรรม (WHA) ค้าปลีก (BJC CPALL HMPRO) ธนาคาร (BBL KBANK KTB SCB) ท่องเที่ยว (CENTEL MINT) อสังหาฯ (AP SPALI) ส่งออก (ITC TU)

พฤอา
311234567891011121314151617181920212223242526272829301234567891011