ปรับแต่งการตั้งค่าการให้ความยินยอม

เราใช้คุกกี้เพื่อช่วยให้คุณสามารถไปยังส่วนต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและทำหน้าที่บางอย่าง คุณจะพบข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับคุกกี้ทั้งหมดภายใต้หมวดหมู่ความยินยอมแต่ละประเภทด้านล่าง คุกกี้ที่ได้รับการจัดหมวดหมู่ว่า "จำเป็น" จะถูกจัดเก็บไว้ในเบราว์เซอร์ของคุณ เนื่องจากมีความจำเป็นต่อการทำงานของฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์... 

ใช้งานอยู่เสมอ

คุกกี้ที่จำเป็นมีความสำคัญต่อฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์ และเว็บไซต์จะไม่สามารถทำงานได้ตามวัตถุประสงค์หากไม่มีคุกกี้เหล่านี้

คุกกี้เหล่านี้ไม่จัดเก็บข้อมูลที่สามารถระบุตัวบุคคลได้

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้แบบฟังก์ชันนอลช่วยทำหน้าที่บางอย่าง เช่น แบ่งปันเนื้อหาของเว็บไซต์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย รวบรวมความคิดเห็น และฟีเจอร์อื่นๆ ของบุคคลที่สาม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้วิเคราะห์ใช้เพื่อทำความเข้าใจวิธีการที่ผู้เยี่ยมชมโต้ตอบกับเว็บไซต์ คุกกี้เหล่านี้ช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวชี้วัด เช่น จำนวนผู้เข้าชม อัตราตีกลับ แหล่งที่มาของการเข้าชม ฯลฯ

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้ประสิทธิภาพใช้เพื่อทำความเข้าใจและวิเคราะห์ดัชนีประสิทธิภาพหลักของเว็บไซต์ซึ่งจะช่วยให้สามารถมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้นแก่ผู้เยี่ยมชม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้โฆษณาใช้เพื่อส่งโฆษณาที่ได้รับการปรับแต่งตามการเข้าชมก่อนหน้านี้ และวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณา

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

#วิพากษ์หุ้นไทย


จัดทัพหุ้นท่องเที่ยว

จัดทัพหุ้นท่องเที่ยว

          หุ้นวิชั่น - มูลค่าการซื้อขายตลาดหุ้นไทยเริ่มลดลงสอดคล้องกับมูลค่าซื้อขายตลาดหุ้นประเทศอื่นๆ ที่ลดลงระดับ 20%-40%  เนื่องจากนักลงทุนชะลอ การลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง ระหว่างเฝ้ารอ ดูทรัมป์กำลังตัดสินใจตั้งกำแพงภาษีตอบโต้หลายประเทศ  สงครามการค้าระอุ กดดันตลาดหุ้นทั่วโลก           ล่าสุด ครม. เคาะไฟเขียว พ.ร.บ.ธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร มุ่งเน้นลงทุนเพื่อการท่องเที่ยวไทย กำหนด “กาสิโน” ไม่เกิน 10% ของพื้นที่ทั้งหมด หุ้นได้ประโยชน์ในมุมมอง BLS Research ประกอบด้วย  BTS , VGI , STECON ,BA , MBK และกลุ่มโรงแรม ส่วนกลุ่มธนาคารอาจได้ประโยชน์ทางอ้อมจากการปล่อยกู้โครงการใหญ่           เช่นเดียวกับ บล.หยวนต้าคาด เป็นปัจจัยบวกเชิง Sentiment ต่อ VGI, BTS, MBK, ERW, CENT ส่วน บล.กรุงศรี ชี้ หุ้น BTS, VGI, BA, STECON ได้รับอานิสงส์พร้อมกับกลุ่มธนาคาร BBL, KBANK, KTB           ภายใต้มูลค่าซื้อขายเบาบางนี้  มุมมอง บล.เอเซีย พลัส แนะนำ TRADING หุ้นมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว จากมาตรการคงค่าไฟฟ้า GPSC, BGRIM เก็งข่าวมาตรการเราเที่ยวด้วยกัน รัฐจ่ายคนละครึ่ง ERW, MINT, CENTEL และหุ้นอิงราคาน้ำมัน PTTEP, PTT, BCP, TOP           หันมาดูตัวเลข นักท่องเที่ยวต่างชาติฯ ตั้งแต่ 1 ม.ค. – 23 มี.ค. 68 โต 2.9% YOY มาที่ 8,885,747 คน หรือเฉลี่ย 108,363 คนต่อวัน (เพิ่ม 5.4% จากค่าเฉลี่ยรายวัน 4Q67) ยังถือว่าอัตราการขยายตัวน้อยกว่าสมมติฐานฝ่ายวิจัยที่เพิ่ม 8.6%YOY (38.6 ล้านคน) และภาครัฐ (39-40 ล้านคน เพิ่มประมาณ 10% YOY) หลังนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าไทยยังน้อยกว่าที่ประเมิน (สัปดาห์ที่ 17 มี.ค. – 23 มี.ค. 68 อยู่ที่ 67,580 คน ติดลบ 4% WOW และหดตัว 50% YOY) จากความกังวลด้านความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวจีน และการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวจากประเทศอื่น โดยเฉพาะ ญี่ปุ่น           สถานการณ์ของนักท่องเที่ยวจีนยังต้องติดตามการฟื้นตัว หากพิจารณาช่วงเกิดเหตุเรือล่มที่ภูเก็ต (ก.ค. 61) นักท่องเที่ยวจีนมาไทยติดลบติดต่อกัน 5 เดือน จึงเริ่มกลับมาขยายตัว YOY ช่วง ธ.ค. 61 โดยสมมติฐานนักท่องเที่ยวฯ ทั้งปีเริ่มดูท้าทาย แต่ยังอยากติดตามปัจจัยหนุนช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยวจากวันหยุดอีสเตอร์ที่ปีนี้เลื่อนไปอยู่ เม.ย. (ปีก่อนอยู่ มี.ค.)           รวมถึงติดตามการเดินทางของนักท่องเที่ยวจีนช่วงวันแรงงาน (หยุด 5 วัน 1–5พ.ค. 68) และ 3Q เข้าสู่ SEASONALITY ของสมุย ซึ่งแนวโน้มนักท่องเที่ยวฯ น่าจะเข้ามามากขึ้น รับประโยชน์จากกระแส WHITE LOTUS ว่าจะเข้ามาสนับสนุนได้มากน้อยเพียงใด           ทั้งนี้ กรณีที่นักท่องเที่ยวฯ ฟื้นช้ากว่าคาด อาจส่งผลให้นักท่องเที่ยวฯ เข้าไทยลงมาอยู่ที่ 37-37.5 ล้านคน เติบโต 4.1%-5.5%  เมื่อเทียบกับปีก่อน สำหรับผลต่อการดำเนินงานกลุ่มท่องเที่ยว มองว่าบริษัทที่มีสัดส่วนรายได้ในไทยสูง จะได้รับผลกระทบจากภาพนักท่องเที่ยวฯข้างต้น เรียงจากมากไปน้อยดังนี้ AOT ตามด้วย ERW, CENTEL และ MINT (สัดส่วนรายได้ 50% มาจากโรงแรมในEU)           ราคาหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว YTD ปรับฐานเฉลี่ย 20% (VS SET INDEX ลบ 15%) ซึมซับปัจจัยลบไปบางส่วนแล้ว ขณะที่มาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวไทย อย่าง เราเที่ยวด้วยกัน รัฐจ่ายคนละครึ่ง (50% : 50%)ครอบคลุมค่าที่พัก ค่าเครื่องบิน ร้านอาหาร เริ่ม พ.ค. - ก.ย. ประกอบกับร่าง พ.ร.บ. สถานบันเทิงครบวงจร  ที่ ครม. เห็นชอบ  น่าจะช่วยสร้าง SENTIMENT ที่ดีต่อหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยวหลังปรับฐานมาอย่างต่อเนื่อง           โดยคงเลือก MINT และ CENTEL เป็นหุ้นเด่น จากโครงสร้างธุรกิจกระจายตัวและในหลายประเทศ (อย่าง CENTEL มีโรงแรมในญี่ปุ่น) ลดทอนผลกระทบจากการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวที่ช้ากว่าสมมติฐาน           ส่วน ERW มองว่าราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายที่ PER ราว 13 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 35 เท่า ถือว่าไม่แพงแล้ว ขณะที่ AOT จะรับประโยชน์จากการกระตุ้นท่องเที่ยวไทยน้อยกว่ากลุ่มโรงแรม เพราะค่าบริการผู้โดยสารขาออกในประเทศ (130 บาทต่อคน) ไม่สูงเท่าระหว่างประเทศ (730 บาทต่อคน)           ในที่สุดครม.  ได้มีมติเห็นชอบ ร่าง พ.ร.ก. แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ เพิ่ม อำนาจให้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในการทำคดีหุ้น ทั้งด้านการเพิ่มประสิทธิภาพเกี่ยวกับการกำกับดูแลการขายชอร์ต เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมโปร่งใส ด้านการกำกับผู้ประกอบวิชาชีพในตลาดทุนเพื่อยกระดับการทำหน้าที่ตรวจสอบและป้องกันการทุจริตของบริษัทจดทะเบียน การรายงานข้อมูลการก่อภาระผูกพันในหลักทรัพย์เพื่อให้ผู้ลงทุนได้รับข้อมูลที่สำคัญ ครบถ้วนและเพียงพอเพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน ด้านมาตรการทางกฎหมายเพื่อยับยั้งความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการทำธุรกรรมของบริษัทจดทะเบียน           สำหรับกรณีการเป็นพนักงานสอบสวนในคดีที่มี high impact  ก.ล.ต. มีอำนาจในการทำคดีและเมื่อสรุปสำนวนเสร็จสิ้น จะนำส่งสำนวนและความเห็นไปยังพนักงานอัยการเพื่อพิจารณาสั่งฟ้องซึ่งเป็นไปตามหลักการ check and balance ตามกระบวนการยุติธรรม การดำเนินการดังกล่าว ก.ล.ต. สามารถบูรณาการพนักงานสอบสวนหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือพนักงานสอบสวนคดีพิเศษหรือเจ้าหน้าที่คดีพิเศษ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการร่วมสอบสวนคดีโดยใช้ความเชี่ยวชาญมาช่วยให้กระบวนการบังคับใช้กฎหมายในกรณี high impact รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น           ก็ต้องจับตากันต่อไปว่า เมื่อเสริมเขี้ยวเล็บให้กับ  ก.ล.ต. แล้ว จะกล้าฟันมากน้อยแค่ไหน การลงทุน มีความเสี่ยง ผู้ลงทุน ควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจ ข่าวหัวม่วง By ทีมงานหุ้นวิชั่น  

20 หุ้นใหญ่ที่ต่างชาติทุบ

20 หุ้นใหญ่ที่ต่างชาติทุบ

          หุ้นวิชั่น - จากข้อมูลสถิติตลาดหุ้นไทยในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา ถูกนักลงทุนต่างชาติขายกดหนักมาโดยตลอด  จนกระทั้งหลายบริษัทเริ่มเข้าโครงการซื้อหุ้นคืนกันเป็นทิวแถว             ล่าสุด HMPRO ก็ทนไม่ไหว ประกาศซื้อหุ้นคืนตาม PTT  ด้วยวงเงินจำนวน 7,000 ล้านบาท  ซื้อหุ้นคืนจำนวนไม่เกิน 800 ล้านหุ้น หรือ 6% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด  คิดเป็นราคาเฉลี่ย 8.75 บาทต่อหุ้น มีระยะเวลาซื้อคืนตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน – 30 กันยายน 2568 และราคาที่ซื้อคืนจะต้องไม่มากกว่า 115% ของราคาปิดของหุ้นเฉลี่ย 5 วันทำการก่อนหน้าการซื้อขาย           ใน 3 ปีที่ผ่านมา SET INDEX ปรับตัวลงทุกปี รวมแล้วลบมา 484 จุด หรือ 29% นั้นคือ ปี 2023 -15% , 2024 -1.1%,2025YTD -15.4% เกิดจากต่างชาติ มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากขึ้น  โดยปัจจัยมีสัดส่วนการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยสูงถึง53.8% ซึ่งส่วนทางกับนักลงทุนรายย่อยที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นน้อยลงเรื่อยๆ โดยปัจจุบันมีสัดส่วนการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยเพียง 29.1%           ซึ่งการที่ SET ปรับตัวลงแรงในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา สาเหตุหลักมาจากการถูกต่างชาติขายสุทธิอย่างหนักหน่วง โดยต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยหนักทุกปี รวม -3.77 แสนล้านบาท สวนทางกับนักลงทุนไทยที่ค่อยๆ เข้ามาสะสมหุ้นถึง 2.65 แสนล้านบาท ทำให้นักลงทุนในประเทศเกิดความเสียหายเป็นวงกว้าง (ข้อมูล บล.เอเซีย พลัส )           จากประเด็นดังกล่าวทำให้ SET ผันผวนในช่วงที่ผ่านมา และกดดันให้เม็ดเงินส่วนหนึ่งของนักลงทุนไทยออกไปลงทุนต่างประเทศมากขึ้น ดูจากยอด FCD ของไทย พุ่ง ATH แตะ 2.63 หมื่นล้านเหรียญ (ในยามที่ดอกเบี้ยประเทศอื่นสูงกว่าไทย)           และหากพิจารณาเป็นรายหุ้น จะเห็นได้ว่า มี 20 หุ้นขนาดใหญ่ ที่ถูกต่างชาติขายหนัก ตั้งแต่ปี 2023-ถึงปัจจุบัน ประกอบด้วย 10 หุ้นแรก คือ  DELTA – CPALL- AWC- PTTEP – AOT-CPN-BTS-TISCO-TIDLOR และ TOP  ส่วนอีก 10 หุ้นหลังที่ต่างชาติขายหนัก PTT-SCC-BANPU-PTTGC-LH-HMPRO-SJWD-EA-BDMS และHANA             ทุกวิกฤติย่อมมีโอกาสเสมอ บล.เอเซีย พลัส แนะ กลยุทธ์ให้นักลงทุน หลบความผันผวนกับหุ้นปันผล หลังSET มี DIVIDEND YIELD สูง เป็นอันดับต้นๆ ของโลก จากแรงขายของต่างชาติที่มีมาตลอด 3 ปี กว่า 3.8 แสนล้านบาท ทุบดัชนีหุ้นดิ่งมาเกือบ 500 จุด  จนมี VALUATION ที่ถูกมาก โดยมี PBV 1.13 เท่า มี DIVIDEND YIELD 4.3% ขณะที่ SETHD มี DIVIDEND YIELD สูงถึง 6.6 %           แม้ว่าตลาดหุ้นไทยยังถูกปัจจัย TRADE WAR กดดัน ทำให้ขยับขึ้นยาก ดังนั้นเพื่อหลบความผันผวน  แนะนำทยอยสะสมหุ้น VALUATION ถูก ปันผลสูง SPALI,AP,SCC,PTTEP และหุ้น MEGA TREND ปันผลมีโอกาสค่อยๆสูงขึ้น CPALL,BH,ITCและWHA             มาที่ TOP ล่าสุด บริษัท Samsung E&A (Thailand) Co., Ltd. และ Saipem Singapore Pte. Ltd. 2 ใน 3 บริษัทร่วมทุนของ Unincorporated Joint Venture (UJV) ได้เริ่มกระบวนการอนุญาโตตุลาการกับ TOP ต่อ Singapore International Arbitration Centre โดย Samsung และ Saipem ได้ฟ้องร้องถึงการใช้สิทธิของ TOP ในการบังคับหลักประกันของ UJV มูลค่า USD 358 ล้าน ตามที่ TOP ได้แจ้ง SET เมื่อวันที่ 24 ม.ค.68           โดยทั้ง 2 บริษัทได้อ้างถึงการใช้สิทธิบังคับหลักประกันดังกล่าวของ TOP เป็นการใช้สิทธิก่อนถึงกำหนดเวลาและเป็นการดำเนินการที่ไม่สมควร อีกทั้งยังได้เรียกร้องค่าเสียหายกับ TOP สำหรับความเสียหายซึ่งยังมิได้มีการระบุรายละเอียด           บล. ดาโอ มุมมองเป็นลบเล็กน้อย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความคืบหน้าในการดำเนินโครงการ Clean Fuel Project (CFP) อย่างไรก็ตาม TOP ได้ยืนยันถึงการปฏิบัติตามข้อบังคับกับ UJV อย่างเคร่งครัด  ทั้งนี้ ต้องรอดูผลการพิจารณาของศาลต่อคดีนี้ต่อไป ถึงจะประเมินได้ว่าจะส่งผลกระทบต่องบการเงินของ TOP หรือไม่ ยังคงแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมายปี2568ที่ 36.00 บาท อิง PBV เป้าหมายที่ 0.47x   การลงทุน มีความเสี่ยง ผู้ลงทุน ควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจ ข่าวหัวม่วง By ทีมงานหุ้นวิชั่น     

หุ้นอดทน-การเมือง

หุ้นอดทน-การเมือง

          หุ้นวิชั่น- การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลวันแรก ก็เผ็ดร้อนพอหอมปากหอมคอ ทุกคำของทุกท่านในสภาล้วนแต่ ให้เหตุผลว่า ทำเพื่อประชาชน เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ  แต่เท่าที่รับฟังประเด็นเนื้อหา การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของชาติ ดูน้อยไปหน่อย ทั้งที่ เป็นปัญหาเร่งด่วนของประเทศไทยยามนี้          น้ำหนักการอภิปราย ส่วนใหญ่พุ่งเป้าตัว นายกรัฐมนตรี เป็นหลัก หักล้างช่วงชิงความได้เปรียบทางการเมือง โดยใช้ประชาชน เป็นตัวประกัน  แล้วเช่นนี้ ประเทศไทยจะเดินหน้าไปได้อย่างไรกัน          ในกรณีที่เลวร้ายสุดจากการอภิปรายรอบนี้  บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) มองว่า  คือรัฐบาลประสบอุบัติเหตุทางการเมืองหลังจากจบการอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี อาจส่งผลให้ SET Index ปรับตัวลงได้ โดยในที่นี้ทางฝ่ายวิเคราะห์ จะใช้สถิติในสมัยของพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธเป็นหลัก เนื่องจากสมัยของคุณบรรหาร ศิลปะอาชา ระหว่างวันก่อนเริ่มอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีกับวันที่มีการยุบสภา มีระยะห่างที่ค่อนข้างสั้น และ SET Index ปรับตัวลงเพียง 0.23% จึงไม่ค่อยน่ากังวลมากนัก เมื่อเปรียบเทียบกับในสมัยของพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ที่มีระยะห่างค่อนข้างยาวกว่าจะถึงวันลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และ SET Index ปรับตัวลงถึง 10.77%          หุ้นรับมืออุบัติเหตุทางการเมือง ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาในหมวดธุรกิจ (Sector) ที่ยังเหลือรอด คือ Performance เป็นบวกจะประกอบด้วยชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (ETRON), ยานยนต์ (AUTO) และธุรกิจการเกษตร (AGRI) ตามลำดับ ทางฝ่ายจึงนำหมวดธุรกิจข้างต้น ( ตัดยานยนต์ออกเนื่องจากภาพธุรกิจที่ยังไม่สดใสนัก) ไปคัดเลือกหุ้นที่มีคะแนนรวมในเชิง Quantitative จาก CoreSight ของ PhillipResearch มากกว่า 60 คะแนน พอร์ตหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากการเมืองน้อย ประกอบด้วย SVI -TEAM-UVAN-UPOIC-TFM-TEGH-GFPTและNER             ด้านบล.เอเซียพลัส ได้ระบุว่า หุ้นใน SET100 ลงมาเร็ว ลงมาลึกจากจุดสูงสุดปีที่แล้วเฉลี่ย -34% จนมีหุ้นใน SET100 ถึง 39 ตัว ที่มี PBV < 1 และปัจจุบันเริ่มเห็นการประกาศซื้อหุ้นคืนจากหุ้นขนาดใหญ่อย่าง PTT และนับตั้งแต่ต้นปี มีบริษัทต่างๆ ซื้อหุ้นคืนไปแล้วกว่า 4.8 พันล้านบาท          โดยได้ทำการค้นหาหุ้นที่มีโอกาสถูกซื้อหุ้นคืน พบว่ามีเข้าข่ายอยู่  20 บริษัท ได้แก่ BANPU, EGCO, BGRIM, BCP, RCL, IRPC, TOP, HANA, PTT, CK, CKP, PTTGC, BCPG, GPSC, STGT, SCC, SIRI, SJWD, TU, SCGP          ขยับมาเกาะติดหุ้นในกลุ่มแบงก์กันบ้าง บล. ดาโอ วิเคราะห์ผลงานของกลุ่มแบงก์พบว่า สินเชื่อในเดือน ก.พ. 2025 กลับมาหดตัว โดยการลดลงส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อภาครัฐที่ลดลงจากปีงบประมาณ และสินเชื่อเช่าซื้อที่ยังลดลงตามยอดขายรถยนต์ที่มีการปรับตัวลดลง และจากกำลังซื้อชะลอตัว รวมถึงหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง ทำให้กลุ่มธนาคารมีการเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น แต่สินเชื่อรายใหญ่ยังคงเพิ่มขึ้นได้ดี                     ขณะที่คาดว่าสินเชื่อภาครัฐจะมี Momentum ที่เพิ่มขึ้นได้ในปีนี้ ตามความคาดหวังว่า จะมีโครงการใหญ่ๆของภาครัฐที่จะเพิ่มขึ้นได้ตามปีงบประมาณ          ทั้งนี้ ยังคงประมาณการการเติบโตของสินเชื่อรวมทั้งปี 2025  ของกลุ่มไว้ที่ +2% YoY (2M24 อยู่ที่ -0.8% YTD) ด้าน NPL คาดว่า มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่เชื่อว่า จะทยอยเพิ่มขึ้นไม่น่ากังวลมากนัก เพราะแต่ละธนาคารมีการตั้งสำรองฯจำนวนมากมาอย่างต่อเนื่องในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และมีการทยอยขายหนี้เสียออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยคาด NPL ในปี 2025E จะอยู่ที่ 3.18% จาก 3.05% ในปี 2024          เลือก KTB, TTB, BBL เป็น Top pick ขณะที่ BBL จะได้รับผลบวกจากสินเชื่อที่เติบโตได้สูงสุดในเดือน ก.พ. 25 ให้น้ำหนักการลงทุน เป็นหุ้นเด่น เพราะแนวโน้มการเติบโตของกำไรปี 2025E จะยังเติบโตได้ต่อเนื่องอีก +4%  ขณะที่ valuation ยังมีความเสี่ยงต่ำ          ด้าน หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร OR เริ่มรุกหนัก เปิดร้าน Café Amazon Concept Store สาขาตวลโก๊ก (Toul Kork) ซึ่งถือเป็น Café Amazon ในรูปแบบ Concept Store แห่งแรกในประเทศกัมพูชา พร้อมก้าวสู่การเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของกรุงพนมเปญ รวมถึงเปิดสถานีบริการ PTT Station Neak Vorn (เนียกกะวอน) หนึ่งในสาขาสถานีบริการ Flagship             ปัจจุบัน Café Amazon มีสาขารวมกว่า 4,879 สาขาใน 11 ประเทศทั่วโลก โดยประเทศกัมพูชามีจำนวนสาขามากเป็นอันดับ 1 มีจำนวนสาขารวม 254 สาขา และสาขานี้ถือเป็นลำดับที่ 254 การเปิด Concept Store แห่งแรกในกัมพูชานี้ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ OR ในการนำพาแบรนด์ไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล              สำหรับสถานีบริการ PTT Station Neak Vorn (เนียกกะวอน) เป็นสถานีบริการในรูปแบบ Flagship ครบวงจร ตั้งอยู่ใจกลางกรุงพนมเปญ ที่นอกเหนือจากการให้บริการน้ำมันคุณภาพสูงตามมาตรฐาน Euro 5 แล้ว ยังได้รวมธุรกิจที่หลากหลายไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นร้านกาแฟ Café Amazon ร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ร้านสะดวกซัก Otteri และร้านอาหารต่าง ๆ เพื่อให้บริการที่ครบครันแก่ผู้บริโภคชาวกัมพูชา ปัจจุบันมีสถานีบริการ PTT Station ในกัมพูชาทั้งสิ้น 186 สาขา นี่คือ การเติบโตทางธุรกิจ ที่ชัดเจนของในต่างประเทศ บ้านหลังที่ 2 ของ OR การลงทุน มีความเสี่ยง ผู้ลงทุน ควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจ ข่าวหัวม่วง By ทีมงานหุ้นวิชั่น   

ASL คาด SET วันนี้แกว่งตัว Sideway ชู TRUE เด่น

ASL คาด SET วันนี้แกว่งตัว Sideway ชู TRUE เด่น

                  หุ้นวิชั่น - บล.เอเอสแอล คาดแนวโน้ม SET Index ประเมินแกว่งตัว Sideway ในกรอบ 1,170-1,200 จุด โดยขานรับทรัมป์จะมีการใช้ความยืดหยุ่นต่อแผนการเรียกเก็บภาษีตอบโต้ (reciprocal tariff) ซึ่งสหรัฐมีกำหนดบังคับใช้ในวันที่ 2 เม.ย. หนุนให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นจากการติดลบ เพราะมีความหวังว่าภาษีศุลกากรที่ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ซึ่งคาดว่าจะเริ่มบังคับใช้ในช่วงต้นเดือนเม.ย. นั้น อาจไม่รุนแรงอย่างที่วิตกกัน รวมถึงจะมีการพูดคุยกับจีนในสัปดาห์นี้ ด้านราคาน้ำมันปรับตัวขึ้น เนื่องจากมาตรการคว่ำบาตรรอบใหม่ของสหรัฐฯ ต่ออิหร่าน และแผนการผลิตล่าสุดของกลุ่มโอเปกพลัส (OPEC+) ทำให้ตลาดคาดว่าปริมาณอุปทานจะตึงตัวขึ้น                   ปัจจัยในประเทศ คาดหวังนักลงทุนสถาบันโอกาสที่จะเข้ามาทำ Window Dressing เราแนะนำให้เพิ่มน้ำหนักลงทุนในระยะกลาง-ยาวในกลุ่มหุ้น Big Cap ขณะที่มีการรายงานตัวเลขส่งออกไทยเดือนก.พ. ออกมาดีกว่าคาด โดยขยายตัวได้ถึง 14% YoY จากที่ตลาดคาดโต 8% YoY และขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 ส่งผลให้ 2M25 +13.8% และคาดว่าทั้งปีจะขยายตัว 3% ตามเป้า สร้าง Sentiment บวกให้กับตลาดได้บ้าง อย่างไรก็ตาม ระยะสั้นยังถูกกดดันจากความกังวลประเด็นสงครามการค้าจากนโยบายภาษีของนายโดนัลด์ทรัมป์ซึ่งคาดว่าในเดือนเม.ย. จะประกาศมาตรการเข้มข้นมากขึ้น                   ติดตาม : Core PCE ก.พ. สหรัฐฯ, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคผลิต-ภาคบริการขั้นต้น เดือนมี.ค. ของทั้งสหรัฐฯ ญี่ปุ่น อียู, ตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมี.ค. ของสหรัฐจาก Conference Board และยอดขายบ้านใหม่เดือนก.พ., การอภิปรายไม่ไว้วางใจ Stock pick : TRUE กำไรผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว เป้าเชิงกลยุทธ์ที่ 12.00 บาท

abs

เจมาร์ท สร้างความสามารถในการแข่งขัน ด้วยการสร้าง Synergy Ecosystem

หุ้นได้-เสีย ผ่อนกฎ LTV

หุ้นได้-เสีย ผ่อนกฎ LTV

          หุ้นวิชั่น - บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยยามนี้ ต้องยอมรับว่า นักลงทุนยังกล้าๆกลัวๆ ข่าวดีน้อย มีแต่ข่าวร้ายท่วมตลาด วานนี้ (20 มี.ค.2568) แบงก์ชาติปล่อยผี  ยอมผ่อนเกณฑ์ LTV เป็นการชั่วคราว ถือว่าเป็นการต่อลมหายใจธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ได้ในระดับหนึ่ง ดีกว่าไม่มีมาตรการกระตุ้นอะไรเลย           สาระสำคัญ มีดังนี้ 1.กำหนดให้เพดานอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกันเป็น 100% สำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ทั้งกรณี(1) มูลค่าหลักประกันต่ำกว่า 10 ล้านบาท ตั้งแต่สัญญากู้หลังที่ 2 เป็นต้นไป(2) มูลค่าหลักประกันตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป ตั้งแต่สัญญากู้หลังที่ 1 เป็นต้นไป  2.การผ่อนคลายนี้ให้เป็นการชั่วคราว สำหรับสัญญาเงินกู้ที่ทำสัญญาตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.2568 ถึง 30 มิ.ย.2569           ด้าน บล.ดาโอ มองเป็นบวก โดยการผ่อนเกณฑ์ LTV จะเป็นผลดีต่อกลุ่ม property ซึ่งจะเป็นการเพิ่มความสามารถในการซื้อให้กับลูกค้าได้มากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการช่วยระบายสต็อกที่อยู่อาศัยได้เร็วขึ้น และส่งผลให้ภาพรวมกลุ่มที่อยู่อาศัยมีการฟื้นตัวได้ดีขึ้น           สำหรับหุ้นที่ประเมินว่า จะได้ประโยชน์มากสุด ได้แก่ SPALI, SIRI, ORI เนื่องจากมี backlog รอโอน และยังมี inventory ค่อนข้างมาก           ส่วนกลุ่มธนาคารก็รับอานิสงส์ไม่น้อยเช่นกัน  เพราะจะช่วยให้คนเข้าถึงสินเชื่อบ้านได้มากขึ้น โดยธนาคารที่มีสัดส่วนสินเชื่อบ้านจากมากไปน้อย คือ SCB 32%, TTB 26%, KTB 19%, KBANK 17% ทั้งนี้ ยังคงน้ำหนักการลงทุนลงเป็น “มากกว่าตลาด” โดยเลือก KTB (ซื้อ/เป้า 27.50 บาท), TTB (ซื้อ/เป้า 2.22 บาท) และ BBL (ซื้อ/เป้า 186.00 บาท) เป็นหัวหอก           กลับมาที่ บล.เอเซีย พลัส ได้วิเคราะห์ประเด็นยอดฮิต กรณี GULF ขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่อันดับ 5 ที่สัดส่วน 3.25% ใน KBANK และจะจ่ายปันผลรวม 10.5 บาท/หุ้น (ประกอบด้วยปันผลประจำปี 8.0 บาท/หุ้น XD 17 เม.ย.2568 และปันผลพิเศษ 2.5 บาท/หุ้น XD 15 พ.ค.68) ในวันที่ 6 มิ.ย.2568           ทั้งนี้หาก  GULF ถือหุ้นจนถึงวันขึ้นเครื่องหมาย XD จะได้รับเงินปันผลราว 808.5 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนราว 3.8% ของคาดการณ์กำไรปกติปี 2568 ของ GULF ล่าสุด GULF ชี้แจงรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเข้าถือหุ้นว่า  เป็นการลงทุนทั่วไปตามนโยบายของบริษัทฯ ซึ่งโดยปกติจะมีportfolio การลงทุนอยู่แล้ว โดยเห็นว่า KBANK เป็นหุ้นที่มีสภาพคล่องสูง, P/BV และ P/E อยู่ในระดับต่ำ, และมีการจ่ายปันผลต่อเนื่องที่ให้dividend yield ราว 7-8%/ปี           ดังนั้น การเข้าลงทุนดังกล่าวจึงมุ่งหวังผลตอบแทนจากปันผล และ upside จากราคาหุ้น KBANK ในอนาคต ทั้งนี้ GULF ได้ทยอยซื้อสะสม KBANK ตั้งแต่ช่วง4Q67 ส่วนของนโยบายการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน KBANK รวมถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดโอกาส synergy ร่วมกันระหว่าง GULF และ KBANK ในอนาคต ปัจจุบัน GULF ยังไม่สามารถให้ข้อมูลเพิ่มเติมในประเด็นดังกล่าวได้ จึงถือเป็นประเด็นที่ยังคงต้องติดตาม           วกเข้ามาที่ กลุ่มหุ้นแบงก์ขนาดใหญ่อีกครั้ง  หลังมีการคงดอกเบี้ยของธนาคารกลางต่างประเทศ บล .เอเซียพลัส มองเป็นกลางต่อพอร์ตสินเชื่อ ในต่างประเทศของ BBL (สัดส่วนสินเชื่อต่างประเทศ 25% แบ่งเป็น 10% ในอินโดฯ และ ประเทศอื่นๆ อีก 15%) ส่วนทิศทางดอกเบี้ยนโยบายไทย มองว่าในช่วงครึ่งปีแรกปี2568 มีโอกาสลดได้อีก 1 ครั้ง อย่างไรก็ดีหากการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย ช้ากว่าคาด อาจเห็นการลง ดอกเบี้ยนโยบายได้มากกว่านั้น (เริ่มมีมองไปที่ 1.00% -1.25%)           ส่วนแบงก์ใหญ่ 3 อันดับแรก ที่มีสัดส่วนสินเชื่อ Floating rate สูง จะรับผลจากการเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยนโยบายมากกว่ากลุ่มฯ ได้แก่ BBL ตามด้วย KTB และ KBANK โดย BBL จะมีความสัมพันธ์กับทิศทางอัตราดอกเบี้ยในต่างประเทศ ในขณะที่ KTB และ KBANK มีความสัมพันธ์กับดอกเบี้ยนโยบายไทยมากสุดในกลุ่มและในทางตรงข้ามแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายไทย ที่ลดลงจะดีต่อ KKP และ TISCO รวมถึง Non – Bank(Bond yield ลง) อย่าง MTC SAWAD และ TIDLOR               ขณะที่ แบงก์ใหญ่ ยังมีความน่าสนใจเชิง PBV ต่ำและ Div Yield ราว 6% -9% เน้นตั้งรับ KTB, BBLและ TTB มองว่าการจัดการคุณภาพสินทรัพย์ของ 3 ธนาคาร ทำได้ดีกว่ากลุ่ม ช่วยให้การตั้งสำรองลดลง ชดเชยผลจากรายได้ที่อ่อนแอ ตามวัฎจักรดอกเบี้ย ด้านแบงก์เล็ก ชอบ TISCO มากกว่า KKP ในขณะที่ Non – Bank เลือก MTC มากกว่า TIDLOR (อยู่ระหว่างปรับเป็น Holding ราคาหุ้นอาจผันผวนระหว่างดำเนินการ) การลงทุน มีความเสี่ยง ผู้ลงทุน ควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจ ลงทุน ข่าวหัวม่วง by ทีมงานหุ้นวิชั่น

พฤอา
242526272812345678910111213141516171819202122232425262728293031123456