ปรับแต่งการตั้งค่าการให้ความยินยอม

เราใช้คุกกี้เพื่อช่วยให้คุณสามารถไปยังส่วนต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและทำหน้าที่บางอย่าง คุณจะพบข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับคุกกี้ทั้งหมดภายใต้หมวดหมู่ความยินยอมแต่ละประเภทด้านล่าง คุกกี้ที่ได้รับการจัดหมวดหมู่ว่า "จำเป็น" จะถูกจัดเก็บไว้ในเบราว์เซอร์ของคุณ เนื่องจากมีความจำเป็นต่อการทำงานของฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์... 

ใช้งานอยู่เสมอ

คุกกี้ที่จำเป็นมีความสำคัญต่อฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์ และเว็บไซต์จะไม่สามารถทำงานได้ตามวัตถุประสงค์หากไม่มีคุกกี้เหล่านี้

คุกกี้เหล่านี้ไม่จัดเก็บข้อมูลที่สามารถระบุตัวบุคคลได้

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้แบบฟังก์ชันนอลช่วยทำหน้าที่บางอย่าง เช่น แบ่งปันเนื้อหาของเว็บไซต์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย รวบรวมความคิดเห็น และฟีเจอร์อื่นๆ ของบุคคลที่สาม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้วิเคราะห์ใช้เพื่อทำความเข้าใจวิธีการที่ผู้เยี่ยมชมโต้ตอบกับเว็บไซต์ คุกกี้เหล่านี้ช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวชี้วัด เช่น จำนวนผู้เข้าชม อัตราตีกลับ แหล่งที่มาของการเข้าชม ฯลฯ

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้ประสิทธิภาพใช้เพื่อทำความเข้าใจและวิเคราะห์ดัชนีประสิทธิภาพหลักของเว็บไซต์ซึ่งจะช่วยให้สามารถมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้นแก่ผู้เยี่ยมชม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้โฆษณาใช้เพื่อส่งโฆษณาที่ได้รับการปรับแต่งตามการเข้าชมก่อนหน้านี้ และวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณา

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

#ท่องเที่ยว


ททท. ชูวิวาห์ใต้สมุทร   กระตุ้นท่องเที่ยว จ.ตรัง 

ททท. ชูวิวาห์ใต้สมุทร  กระตุ้นท่องเที่ยว จ.ตรัง 

          หุ้นวิชั่น - การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมกับภาครัฐ และภาคเอกชนจังหวัดตรัง จัดกิจกรรมงาน Amazing Thailand Love Wins Festival @ วิวาห์ใต้สมุทร เชิญชวนคู่รักทุกชาติ เข้าร่วมพิธีแต่งงานสมรสเท่าเทียม และจดทะเบียนสมรสใต้ท้องทะเลตรังในระหว่างวันที่ 13-14 กุมภาพันธ์ 2568  ณ อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม พร้อมกิจกรรมเฉลิมฉลองครั้งยิ่งใหญ่ ทั้งขบวนพาเหรดความรักที่เท่าเทียม แต่งเติมสีสัน ความสนุกสนาน และดินเนอร์แสนโรแมนติกมอบให้คู่รัก เติมเต็มความรัก ใครก็รักกันได้ ความรักชนะทุกอย่างบนโลกนี้ให้สมบูรณ์แบบ ดึงดูดนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าร่วมงาน สร้างรายได้ให้จังหวัดตรัง           นางจิระวดี คุณทรัพย์ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและ ททท. เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลวันแห่งความรักนี้ ททท. ได้ร่วมมือกับภาครัฐ และภาคเอกชนจังหวัดตรัง จัดงาน Amazing Thailand Love Wins Festival @ วิวาห์ใต้สมุทร ขึ้นในวันที่ 13 – 14 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่อให้คู่รักได้ร่วมพิธีจดทะเบียนสมรสใต้ท้องทะเลตรัง และร่วมเฉลิมฉลองให้กับความหลากหลายของความรักและการสมรสเท่าเทียม ให้ทุกคู่รักได้ร่วมเป็นหนึ่งในงานวิวาห์ใต้สมุทร ภายหลังจากที่กฎหมายสมรสเท่าเทียมได้มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 23 มกราคมที่ผ่านมา           ทั้งนี้ จังหวัดตรังเป็น 1 ใน 10 จังหวัดเมืองน่าเที่ยวที่มีศักยภาพและสามารถผลักดันสู่การพัฒนาเป็นเมืองหลัก มีหาด Sunset beach 1 ใน 10 ของจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุด และได้รับการโหวตจาก Lonely Planet เป็น Best in Travel 2025 มีเกาะกระดาน ได้รับการจัดอันดับเป็นชายหาดที่ดีที่สุดในโลก จากเว็บไซต์ World Beach Guide จังหวัดตรังมีความหลากหลายทางด้านประเพณี ธรรมชาติ อาหาร เชื้อชาติ ซึ่งทุกอย่างรวมตัวกันอย่างสมดุล มีเอกลักษณ์ที่สามารถเป็นจุดหมายปลายทางสร้างความประทับใจแก่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติได้อย่างแน่นอน           โดยกิจกรรมในครั้งนี้ยังมุ่งประชาสัมพันธ์และกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวเดินทางท่องเที่ยวจังหวัดตรัง เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ รวมถึงสร้างการมีส่วนร่วมในกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวที่หลากหลาย นำไปสู่การส่งเสริมการท่องเที่ยว ที่กระจายรายได้ให้ชุมชนท้องถิ่นอย่างยั่งยืนต่อไป           กิจกรรมงานวิวาห์ใต้สมุทรในปีนี้ มีกิจกรรมหลัก 3 ส่วน ได้แก่ การจัดขบวนพาเหรด Amazing Thailand Love Wins Carnival โดยมีคู่รักศิลปิน และ Influencer อาทิ สายป่าน-คุณวุฒิ พอร์ช-อาร์ม คู่รัก LGBTQIAN+ และกลุ่มแดร็ก พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และโรงเรียนร่วมขบวนสร้างสีสันของความรักที่มีความหลากหลาย มอบความสนุกสนาน ความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวทุกกลุ่มจากทั่วโลก โดยขบวนพาเหรดมีเส้นทางจาก วงเวียนพะยูน-ตลาดเทศบาลนครตรัง-สี่แยกธรรมรินทร์-ถนนพระราม 6-หอนาฬิกาตรัง ประกอบด้วย 6 ขบวน ได้แก่ The World-Class Procession of Khan Mak: ขบวนขันหมากบันลือโลก, The Miracle Love of Under the Sea: ปาฏิหาริย์รักใต้ท้องทะเล, Save the World with Love: รักษ์โลกใบนี้ด้วยรัก, Treasures of Trang: ของดีเมืองตรัง, Love Wins: รักชนะทุกสิ่ง และ Love is Giving: เพราะรักคือการให้ การจดทะเบียนสมรสใต้ท้องทะเล รดทรายสังข์ ในกิจกรรม Wedding Moment On the Beach : Under the Sea อันเป็นไฮไลต์สำคัญของงาน พร้อมบันทึกภาพประทับใจ ท่ามกลางทิวทัศน์ที่สวยงามของเกาะกระดาน และ Sunset Beach สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม รวมถึงการจัดงานเลี้ยงฉลองวิวาห์คู่รัก Dinner Love wins Party สุดโรแมนติกจะจัดขึ้นที่หาดวิวาห์ใต้สมุทร ภายในอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม ซึ่งเชื่อว่าการจัดงานในปีนี้ จะเป็นการเติมเต็มให้คู่รักทุกคู่ ได้มีพิธีวิวาห์ที่สมบูรณ์แบบอย่างแน่นอน           โดยในปีนี้ พิธีวิวาห์ใต้สมุทรจะได้สร้างความฮือฮาให้กับโลกอีกครั้ง โดยการเปิดโอกาสให้คู่รัก สมรสเท่าเทียมทุกชาติ ได้มีโอกาสร่วมเป็นส่วนหนึ่งของงานวิวาห์ระดับโลกนี้อย่างเท่าเทียมกัน เพื่อร่วมเฉลิมฉลอง ในโอกาสที่ประเทศไทยประกาศใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งถือได้ว่าเป็นการเติมเต็มความรักที่สมบูรณ์แบบให้กับคู่รักทุกคู่บนโลกใบนี้ และยังเป็นการสร้างความรักตำนานใหม่ให้กับ “พิธีวิวาห์ใต้สมุทร” ณ จังหวัดตรัง ให้ยิ่งใหญ่สมบูรณ์เป็นที่ประทับใจไปทั่วโลกอีกด้วย [PR News]

ท่องเที่ยวไทยยังโตต่อ  หนุนโรงแรม-สายการบิน

ท่องเที่ยวไทยยังโตต่อ หนุนโรงแรม-สายการบิน

          หุ้นวิชั่น - ภาพรวมการท่องเที่ยวในปี 2568 มีแนวโน้มเติบโตดีต่อเนื่อง แต่ยังต้องติดตามการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนอย่างใกล้ชิด นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทยยังเติบโตต่อเนื่องในปี 2568 ราว 8 ล้านคน โดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวอาเซียน ยุโรป และเอเชียใต้ที่ยังเติบโตได้ดี รวมถึงนักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลางที่เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวศักยภาพที่ขยายตัวแบบก้าวกระโดดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ขณะที่นักท่องเที่ยวจีนมาไทยคาดว่าจะยังฟื้นตัวได้ต่อเนื่องโดยแม้จะยังไม่ฟื้นกลับมาในระดับเดียวกับปี 2562 แต่ไทยยังเป็นจุดหมายปลายทาง TOP 2 ของนักท่องเที่ยวจีน อย่างไรก็ดี การเติบโตของนักท่องเที่ยวต่างชาติยังถูกกดดันจากหลายปัจจัย ทั้งความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกซึ่งอาจส่งผลต่อกำลังซื้อต่อเนื่องไปยังความต้องการท่องเที่ยว, การแข่งขันเพื่อเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่สูงขึ้นจากการออกมาตรการฟรีวีซ่าในหลายประเทศ, การฟื้นตัวของเที่ยวบินซึ่งส่งผลต่อจำนวนที่นั่งและราคาตั๋วเครื่องบิน รวมถึงแนวโน้มการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนโดยเฉพาะกรุ๊ปทัวร์ที่ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิดจากปัจจัยด้านเศรษฐกิจจีนที่เติบโตชะลอตัวและมีความไม่แน่นอนสูง กับความกังวลด้านความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวจีน นักท่องเที่ยวไทยมีแนวโน้มท่องเที่ยวในประเทศต่อเนื่องโดยคาดว่าจะอยู่ที่ 275.6 ล้านคน ซึ่งเติบโตขึ้นเล็กน้อยราว 2%YOY จากแรงกดดันของเศรษฐกิจไทยที่ยังเปราะบางและส่งผลต่อการวางแผนท่องเที่ยวของคนไทย รวมถึงการเดินทางไปต่างประเทศของนักท่องเที่ยวไทยกำลังซื้อสูงจากมาตรการฟรีวีซ่าในหลายประเทศและแพ็กเกจท่องเที่ยวราคาประหยัดที่ดึงดูดให้คนไทยไปเที่ยวต่างประเทศมากขึ้น อย่างไรก็ดี การท่องเที่ยวในประเทศยังมีปัจจัยหนุนจากการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว และนโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศของภาครัฐที่คาดว่าจะออกมาอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะการส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองน่าเที่ยว (เมืองรอง) ซึ่งปัจจุบันเมืองน่าเที่ยวกำลังได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวไทยมากขึ้น           การเติบโตของนักท่องเที่ยวส่งผลให้ธุรกิจโรงแรมฟื้นตัวได้ดีต่อเนื่องทั้งอัตราการเข้าพักและราคาห้องพักเฉลี่ย อัตราการเข้าพักเฉลี่ยของประเทศในปี 2568 มีแนวโน้มเติบโตมาอยู่ที่ราว 75% จากนักท่องเที่ยวไทยเที่ยวไทยที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องสอดรับกับมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวของภาครัฐที่คาดว่าจะทยอยออกมาตลอดทั้งปี และนักท่องเที่ยวต่างชาติที่กลับมาใกล้เคียงปกติ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวศักยภาพสูงที่เติบโตแบบก้าวกระโดดจะเดินทางมาไทยมากขึ้นและพำนักในไทยนานขึ้นอย่างนักท่องเที่ยวรัสเซียตามนโยบายขยายระยะเวลาการพำนักในไทยเป็น 90 วัน ราคาห้องพักเฉลี่ยคาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นราว 5%YOY ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการปรับราคาห้องพักของผู้ประกอบการโรงแรมโดยเฉพาะในโรงแรมระดับ 4 ดาวขึ้นไปหลังมีการปรับปรุงห้องพักและยกระดับการให้บริการตามเทรนด์การท่องเที่ยว รวมถึงจากอุปสงค์ที่ดีขึ้นตามยอดจองที่เพิ่มขึ้นซึ่งเป็นผลจากการทำโปรโมชันอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ธุรกิจโรงแรมยังต้องเผชิญกับปัจจัยท้าท้าย ทั้งจากการแข่งขันที่สูงขึ้นจากอุปทานห้องพักของโรงแรมก่อสร้างใหม่ที่ทยอยเปิดให้บริการต่อเนื่อง และต้นทุนการบริหารจัดการโรงแรม โดยเฉพาะค่าจ้างที่สูงขึ้นจากการขาดแคลนแรงงานทักษะสูงด้านบริการ โดยยังมีปัจจัยบวกจากเทรนด์การท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวยุคใหม่ที่ยอมจ่ายสูงขึ้นเพื่อได้รับบริการระดับพรีเมียมและประสบการณ์ที่แปลกใหม่ รวมถึงระยะเวลาการเข้าพักของนักท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มยาวนานขึ้นจากมาตรการฟรีวีซ่าของภาครัฐและการโปรโมตการท่องเที่ยวในประเทศ นอกจากนี้ ธุรกิจโรงแรมยังมีประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็น มาตรการและนโยบายของภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับภาคการท่องเที่ยว อย่างเช่นการให้สิทธิชาวต่างชาติถือกรรมสิทธิ์ห้องชุดและเช่าที่ดิน, การเก็บค่าธรรมเนียมประกอบธุรกิจโรงแรม และการเก็บค่าธรรมเนียมเหยียบแผ่นดิน 2. อุปทานห้องพักที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากโรงแรมที่อยู่ระหว่างก่อสร้างและจำนวนโรงแรมที่ขออนุญาตก่อสร้างใหม่ซึ่งจะทำให้การแข่งขันสูงขึ้นอีกในระยะข้างหน้า และ 3. ประเด็นด้านความยั่งยืนโดยโรงแรมไทยกำลังถูกผลักดันให้ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนรับข้อกำหนดใหม่ของ EU ภายในปี 2569           ในขณะเดียวกัน รายได้ของธุรกิจสายการบินสัญชาติไทยในปี 2568 ก็มีแนวโน้มเติบโตและฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด-19 รายได้ในเส้นทางบินระหว่างประเทศมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจาก 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1. การเติบโตของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทย โดยเฉพาะจากฝั่งเอเชียอย่างจีน อินเดีย และอาเซียนที่มีการขยายเที่ยวบินเพิ่มขึ้น และ 2. การเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางไปต่างประเทศเป็น 10 ล้านคน โดยเฉพาะในประเทศยอดนิยม เช่น ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ฮ่องกง จีน และเกาหลีใต้ รายได้ในเส้นทางบินในประเทศคาดว่าจะขยายตัวเล็กน้อย หลังจากที่ฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด-19 แล้ว แม้ปริมาณเที่ยวบินที่ให้บริการยังต่ำกว่าปี 2562 โดยนักท่องเที่ยวภายในประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 3%YOY เป็น 363 ล้านคนโดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางต่อในเส้นทางในประเทศ อัตราค่าโดยสารโดยรวมมีแนวโน้มลดลงจากปี 2567 แต่จะยังอยู่ในระดับสูงกว่าปี 2562 โดยเฉพาะในเส้นทางระหว่างประเทศจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น 1. ความต้องการท่องเที่ยวที่ปรับตัวลดลงตามภาวะเศรษฐกิจ 2. การเพิ่มขึ้นของปริมาณเครื่องบิน 3. การแข่งขันในธุรกิจสายการบินที่รุนแรงขึ้น 4. ระดับราคาน้ำมันอากาศยานที่ปรับลดลง ซึ่งช่วยให้การปรับราคาทำได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ดี นโยบายการตั้งราคาของสายการบินจะช่วยพยุงอัตราค่าโดยสารไว้ อย่างไรก็ดี ธุรกิจสายการบินยังเผชิญกับความท้าทายและประเด็นที่ต้องติดตามในหลายด้าน โดย 4 ความท้าทายของธุรกิจสายการบิน ได้แก่ 1. ความต้องการเดินทางทั่วโลกที่ชะลอตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจโลกและปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ 2. การแข่งขันในธุรกิจการบินที่รุนแรงขึ้นโดยเฉพาะในเส้นทางระหว่างประเทศจากทั้งสายการบินสัญชาติไทยและสายการบินต่างชาติ 3. ต้นทุนเชื้อเพลิงที่มีแนวโน้มผันผวนสูงโดยเฉพาะจากความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น และ 4. กฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อต้นทุนการให้บริการ นอกจากนี้ 3 ประเด็นที่ต้องติดตามในธุรกิจสายการบินคือ 1. การใช้น้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF) ซึ่งเป็นเรื่องที่สายการบินทั่วโลกกำลังวางแผนการเพิ่มสัดส่วนการใช้ให้มากยิ่งขึ้น ควบคู่ไปกับการขยายกำลังการผลิตน้ำมัน SAF ที่ยังต้องเร่งพัฒนา 2. ปัญหาคอขวดด้านการผลิตเครื่องบินจากทั้งการขาดแคลนชิ้นส่วนต่อเนื่องจากช่วงโควิด-19 และด้านเทคนิคเครื่องบิน อีกทั้ง ยอดสั่งจองเครื่องบินใหม่ทั่วโลกเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 3. แนวโน้มการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนโดยเฉพาะในกลุ่มกรุ๊ปทัวร์ ซึ่งจะเป็นอีกประเด็นสำคัญต่อการฟื้นตัวของสายการบินสัญชาติไทย           อ่านต่อรายงานฉบับเต็มได้ที่... https://www.scbeic.com/th/detail/product/tourism-220125

จับตาท่องเที่ยวโค้งแรกพีค ชู AWC - CENTEL เด่น

จับตาท่องเที่ยวโค้งแรกพีค ชู AWC - CENTEL เด่น

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุ57' กลุ่มท่องเที่ยว ว่า คาดกำไรยังแข็งแกร่งต่อเนื่องในช่วงไฮซีซันผลประกอบการเด่นก่อนเข้าสู่ช่วงพีคใน 1Q68 คาดการณ์กำไรหลักรวมของหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว 5 บริษัทที่อยู่ภายใต้การวิเคราะห์ที่ 9.6 พันล้านบาท (+18% YoY, +34% QoQ) หรือคิดเป็น 87% ของระดับ 4Q62 โดยการเติบโต YoY ได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์นักท่องเที่ยวต่างชาติที่แข็งแกร่งในไทย ส่งผลให้ RevPAR เฉลี่ยของโรงแรมที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 13% ต้นทุนดำเนินงานยังอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้สำหรับผู้ประกอบการส่วนใหญ่ ขณะที่ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเริ่มลดลงยกเว้น CENTEL คาดว่า 1Q68 จะเป็นไตรมาสที่พีคที่สุดของภาคการท่องเที่ยวด้วยโมเมนตัมกำไรที่แข็งแกร่งในรายไตรมาสและแนวโน้มเชิงบวกในปี 68 (กำไรกลุ่มเติบโต 23% YoY) และมูลค่าหุ้น (valuation) ที่น่าสนใจ โดยเฉพาะกลุ่มโรงแรม ฝ่ายวิเคราะห์จึงคงมุมมองบวกต่อภาคการท่องเที่ยว โดยเลือก AWC และ CENTEL เป็นหุ้นเด่น อัตราการเข้าพักยังต่ำกว่าระดับปี 62 จากข้อมูลการจองห้องพักล่วงหน้าและการตรวจสอบกับผู้บริหารโรงแรมรายใหญ่ ฝ่ายวิเคราะห์คาดว่าอัตราการเข้าพักเฉลี่ยของโรงแรม 7 แห่งที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (พอร์ตโฟลิโอในไทย) จะอยู่ที่ 79% ใน 1Q68 ซึ่งยังต่ำกว่าระดับ 82% ใน 1Q62 ก่อนโควิด อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการส่วนใหญ่จะมีอัตราการเข้าพักที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด ยกเว้น AWC และ CENTEL ที่ยังอยู่ในช่วงเร่งดำเนินงานโรงแรมใหม่และที่ปรับปรุงล่าสุด โดย CENTEL กำลังเร่งเติมอัตราการเข้าพักของ Centara Mirage Pattaya และ Centara Karon Phuket (คิดเป็น 10-12% ของรายได้โรงแรม) ขณะที่ AWC เตรียมเปิดโรงแรมใหม่ 2 แห่งในพัทยาซึ่งจะเพิ่มจำนวนห้องพักขึ้นอีก 9% ใน 1Q68 ผลกระทบจากเหตุลักพาตัวนักแสดงจีนมีจำกัด ฝ่ายวิเคราะห์มองว่าความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของนักท่องเที่ยวจีนจากข่าวลักพาตัวนักแสดงจีนที่แพร่สะพัดน่าจะเริ่มลดลง โดยข้อมูลจำนวนผู้ท่องเที่ยว ณ วันที่ 29 ม.ค. ยังคงแสดงให้เห็นว่าจำนวนผู้ท่องเที่ยวจีนเติบโตแข็งแกร่งที่ +28% YoY และจำนวนผู้ท่องเที่ยวรวมเพิ่มขึ้น +21% YoY ขณะเดียวกัน โรงแรมที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์พบว่ามีการยกเลิกการจองในระดับที่จำกัด เนื่องจากเน้นกลุ่มนักท่องเที่ยวอิสระ (FIT) มากกว่ากลุ่มทัวร์ ซึ่งมีแนวโน้มจะอ่อนไหวจากความกังวลด้านความปลอดภัยที่เกิดจากข่าวดังกล่าวบนโซเชียลมีเดีย หุ้นเด่น AWC และ CENTEL ฝ่ายวิเคราะห์เลือก AWC เป็นหุ้นเด่นอันดับหนึ่ง เนื่องจากได้รับประโยชน์สูงสุดจากการใช้จ่ายด้านที่พักที่เพิ่มขึ้นและการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติในไทย ขณะที่ CENTEL เป็นหุ้นเด่นอันดับสอง เนื่องจากคาดว่ามีกำไรเติบโตแข็งแกร่งเป็นอันดับ 2 ในช่วงปี 67-69 โดยได้รับแรงหนุนจาก RevPAR โรงแรมในไทยที่เพิ่มขึ้นหลังการปรับปรุงครั้งใหญ่และในญี่ปุ่นจากงาน World Expo ที่จะจัดขึ้นที่โอซาก้าในเดือน เม.ย.-ต.ค. 68 ฝ่ายวิเคราะห์มองว่าตลาดรับรู้แล้วว่าผลประกอบการ 4Q67 ของ CENTEL จะถูกกดดันจากค่าใช้จ่ายก่อนเปิดโรงแรมและผลกระทบจากการปรับปรุงโรงแรม

นทท. แน่นทุบสถิติ โบรกมอง  AAV - CENTEL – MINT เด่นสุด

นทท. แน่นทุบสถิติ โบรกมอง AAV - CENTEL – MINT เด่นสุด

         หุ้นวิชั่น - บล.ดาโอ มองเป็นบวกต่อกลุ่มท่องเที่ยวจากตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นทุก ประเทศใน Top 5 โดยจำนวนนักท่องเที่ยวรวมทำจุดสูงสุดในรอบ 50 สัปดาห์ ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นได้ดีเพราะการเข้าสู่ช่วง High season ของไทย ขณะที่นักท่องเที่ยวจีนเริ่มฟื้นตัวได้ดีต่อเนื่องอีก +11% WoW และนักท่องเที่ยวรัสเซียมีการเพิ่มขึ้นได้สูงสุดในรอบ 11 สัปดาห์ (CENTEL มีสัดส่วนรายได้จากนักท่องเที่ยวรัสเซียมากสุดที่ 5% รองลงมาเป็น ERW ที่ 3%) โดยประเมินจำนวนนักท่องเที่ยวรวมเฉลี่ยรายสัปดาห์ในช่วง 16-22 ธ.ค. 24 จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่องจนถึง 1Q24E จากการเข้ามาของนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะไกล (Long haul) โดยเฉพาะตลาดภูมิภาคยุโรป ประกอบกับมีมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่มีผลต่อจำนวนที่นั่งเข้าไทย ( Seat Capacity) ระหว่างเดือน ก.ค. มาจนถึง ธ.ค. ที่จะเพิ่มขึ้น 10% รวมถึงการกระตุ้นและส่งเสริมให้สายการบินเพิ่มจำนวนเที่ยวบินมากยิ่งขึ้น ขณะที่ในเดือน ธ.ค. 24 ยังมีหลายเทศกาลเข้ามาช่วยหนุน ทั้งนี้ ภาพรวมของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งปี 2024E ยังอยู่ในกรอบประมาณการนักท่องเที่ยวรวมและ นักท่องเที่ยวจีนที่เราประเมินไว้ โดยหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากนักท่องเที่ยวจีนที่ เพิ่มขึ้น เรียงลำดับจากมากไปน้อยตามสัดส่วนรายได้จากนักท่องเที่ยวจีน ได้แก่ ERW, CENTEL, MINT, SHRคงประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวรวม ปี 2024E เพิ่มขึ้น +28% YoY และนักท่องเที่ยวจีน +84% YoY ฝ่ายวิจัยยังคง ประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวรวมปี 2024E จะอยู่ที่ 36 ล้านคน เพิ่มขึ้น +28% YoY และคาดจำนวนนักท่องเที่ยวจีนจะอยู่ที่ 6.5 ล้านคน เพิ่มขึ้นถึง +84% YoY ขณะที่คาดจำนวนนักท่องเที่ยวรวมปี 2025E จะอยู่ที่ 39 ล้านคน เพิ่มขึ้น +8% YoY และคาดจำนวนนักท่องเที่ยวจีนจะอยู่ที่ 8 ล้านคน เพิ่มขึ้น +23% YoY Valuation/Catalyst/Risk ฝ่ายวิจัยให้น้ำหนักการลงทุนเป็น “มากกว่าตลาด” โดย Top pick ของกลุ่ม ท่องเที่ยวยังชอบ AAV, CENTEL และ MINT AAV (ซื้อ/เป้า 3.60 บาท) คาดกำไรปกติ 4Q24E จะดีโดดเด่นจากการเข้าสู่ high season ส่งผลให้จำนวนผู้โดยสารและค่าตั๋วโดยสารจะเพิ่มขึ้นได้ดี CENTEL (ซื้อ/เป้า 44.00 บาท) จาก 4Q24E-1Q25E โตได้ต่อเนื่องจากการ เข้าสู่ High season ด้าน Valuation ซื้อขายที่ 2024E EV/EBITDA ที่ 11.7x (-1.25SD below 8-yr average EV/EBITDA) ถูกกว่า ERW ที่ 14.6x ขณะที่ กำไรปกติปี 2025E จะเติบโตได้สูงที่สุด (+18% YoY) เมื่อเทียบกับ MINT และ ERW MINT (ซื้อ/เป้า 34.00 บาท) จาก valuation ยังถูกกว่ากลุ่มฯซื้อขาย 2024E EV/EBITDA ที่ 10x (-2.00SD below 10-yr average EV/EBITDA) ถูกกว่า ERW และ CENTEL ที่ average EV/EBITDA ขณะที่คาดกำไรปกติ 4Q24E จะโต YoY ได้ต่อเพราะเป็น High season ที่ไทยและมัลดีฟส์เข้ามาช่วยหนุน ประกอบกับมีแผนการจัดตั้ง REIT ที่จะช่วยลดความผันผวนได้หลาย

abs

ปตท. แข็งแกร่งร่วมกับสังคมไทย และเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน

ในวันที่กระเป๋าแบน ชาวไทยเที่ยวอย่างไร?

ในวันที่กระเป๋าแบน ชาวไทยเที่ยวอย่างไร?

         หุ้นวิชั่น - ชาวไทยยังคงพร้อมเที่ยวต่อในปีหน้าแต่มีแนวโน้มลดการใช้จ่ายลง จากภาวะเศรษฐกิจไทยที่เติบโตชะลอตัว ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการท่องเที่ยวต่างประเทศที่จะลดลงมากกว่าการท่องเที่ยวในประเทศ ซึ่งแนวโน้มการลดค่าใช้จ่ายด้านท่องเที่ยวนี้ยังเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับการใช้จ่ายด้านอื่น ๆ อย่างไรก็ดี การท่องเที่ยวยังคงเป็นหนึ่งในกิจกรรมยอดฮิตที่ชาวไทยให้ความสำคัญ จากสัดส่วนผู้ที่จะเลิกใช้จ่ายในการท่องเที่ยวในประเทศมีเพียง 9% ซึ่งต่ำกว่าการเลิกใช้จ่ายในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องแต่งกาย อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า          SCB EIC ได้สำรวจความคิดเห็นผู้บริโภคชาวไทยเกี่ยวกับแนวโน้มการใช้จ่ายด้านท่องเที่ยว พบว่า แม้นักท่องเที่ยวไทยจะได้รับแรงกดดันด้านกำลังซื้อเพิ่มขึ้น แต่กลุ่มผู้มีสถานะการเงินที่มั่นคงยังมีแนวโน้มใช้จ่ายในการท่องเที่ยวมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่ไม่มีภาระหนี้ กลุ่มรายได้ดี และโดยเฉพาะกลุ่มที่คาดว่ารายได้จะเพิ่มขึ้นก็ยิ่งมีแนวโน้มใช้จ่ายในการท่องเที่ยวมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่กลุ่มผู้มีสถานะการเงินเปราะบางมากกว่าครึ่งหนึ่งมีแนวโน้มท่องเที่ยวลดลงหรือยกเลิกแผนเที่ยว ทั้งนี้การใช้จ่ายเฉลี่ยของนักท่องเที่ยวไทยส่วนใหญ่ สำหรับการท่องเที่ยวในประเทศจะอยู่ที่ไม่เกิน 3,000 บาทต่อคนต่อวัน และการใช้จ่ายเฉลี่ย สำหรับการท่องเที่ยวต่างประเทศจะอยู่ที่ขั้นต่ำ 10,000 บาทต่อคนต่อวัน โดยนักท่องเที่ยวกลุ่ม LGBTQIA+ และกลุ่มวัยทำงานเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มใช้จ่ายในการท่องเที่ยวต่างประเทศสูงกว่ากลุ่มอื่น ๆ          ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงกดดันการใช้จ่ายของชาวไทย 4 วิธีที่นักท่องเที่ยวไทยเลือกใช้ในการปรับตัวด้านการท่องเที่ยวเรียงตามลำดับได้ดังต่อไปนี้ 1. วิธีลดความถี่ในการท่องเที่ยว 2. วิธีลดช็อปปิงสินค้า 3. วิธีเลือกที่พักที่ราคาประหยัดมากขึ้น และ 4. วิธีชะลอแผนการท่องเที่ยว โดยกลุ่มผู้ที่เผชิญภาวะรายได้ไม่พอจ่ายจะมีการปรับพฤติกรรมการท่องเที่ยวค่อนข้างมาก โดยผู้มีปัญหาทางการเงินบ่อยครั้งจะเลือกชะลอแผนการท่องเที่ยวมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ ส่วนผู้มีปัญหาเป็นบางครั้งจะเลือกลดความถี่ในการท่องเที่ยวแทน นอกจากนี้ ช่วงอายุที่แตกต่างกันจะส่งผลต่อการปรับตัวที่แตกต่างกันด้วย โดยกลุ่มวัยรุ่น/วัยเริ่มทำงานกับกลุ่มผู้สูงวัย จะพยายามคงแผนท่องเที่ยวเดิมแต่จะเลือกปรับพฤติกรรมการเที่ยวแทน เช่น กลุ่มวัยรุ่น/วัยเริ่มทำงานจะยอมลดความสะดวกสบายในระหว่างท่องเที่ยวด้วยการลดค่าใช้จ่ายในการกินอยู่ ทั้งการเลือกที่พักราคาสบายกระเป๋าและการประหยัดค่าอาหาร ส่วนกลุ่มผู้สูงวัยจะเลือกปรับตัวด้วยการเปลี่ยนแผนมาเที่ยวในประเทศมากขึ้นหรือใช้บริการกรุ๊ปทัวร์เพื่อลดค่าใช้จ่าย ขณะที่กลุ่มวัยทำงานซึ่งเป็นกลุ่มที่มีภาระค่าใช้จ่ายสูงจะเลือกชะลอแผนการท่องเที่ยวออกไปมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ          การเจาะกลุ่มตลาดนักท่องเที่ยวกำลังซื้อค่อนข้างดี การเพิ่มความคุ้มค่าของสินค้าหรือบริการท่องเที่ยวให้ตรงจุดกับนักท่องเที่ยวแต่ละกลุ่มตามช่วงวัย และการบริหารจัดการต้นทุนค่าใช้จ่ายของธุรกิจ เป็น 3 กลยุทธ์สำคัญที่ธุรกิจด้านการท่องเที่ยวอาจนำมาพิจารณาเพื่อตอบโจทย์การปรับตัวของพฤติกรรมนักท่องเที่ยวไทยในภาวะเศรษฐกิจที่ยังมีความเปราะบางสูง โดยกลยุทธ์แรก : การเจาะกลุ่มตลาดนักท่องเที่ยวกำลังซื้อดี แม้นักท่องเที่ยวไทยโดยรวมจะมีแนวโน้มลดการใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวลง แต่กลุ่มผู้มีรายได้ค่อนข้างดีหรือผู้ที่คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็นกลุ่มที่จะยิ่งใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวมากขึ้นทั้งการท่องเที่ยวในประเทศและต่างประเทศ จึงทำให้ตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ยังคงเติบโตได้ค่อนข้างดีต่อเนื่อง กลยุทธ์ที่ 2 : การเพิ่มความคุ้มค่าให้ตรงกับนักท่องเที่ยวในแต่ละกลุ่ม ด้วยพฤติกรรมการปรับตัวของนักท่องเที่ยวที่แตกต่างกันในแต่ละช่วงวัย ดังนั้น การนำเสนอบริการที่ตรงใจกลุ่มเป้าหมายในแต่ละกลุ่มจะช่วยดึงดูดได้อย่างตรงจุด เช่น การดึงดูดนักท่องเที่ยววัยรุ่น/วัยเริ่มทำงานด้วยการนำเสนอกิจกรรมที่น่าสนใจและเหมาะกับการสร้างคอนเทนต์ ส่วนนักท่องเที่ยวกลุ่มผู้สูงวัยที่เน้นความสะดวกสบายควรใช้วิธีเพิ่มความคุ้มค่าจากบริการพิเศษที่เหมาะสมแทน เช่น การบริการขนมหวาน การเข้าชมการแสดงโชว์ หรือคลาสออกกำลังกาย แต่สำหรับกลุ่มวัยทำงานซึ่งยังมีความระมัดระวังในการใช้จ่ายมาก การเลือกวิธีจัดทำโปรโมชันลดราคาจึงเป็นแนวทางที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ได้ดีกว่าวิธีอื่น และกลยุทธ์ที่ 3 : การบริหารจัดการต้นทุนค่าใช้จ่ายของธุรกิจ จากกำลังซื้อของนักท่องเที่ยวไทยที่ลดลง ทำให้ภาคธุรกิจต้องบริหารจัดการต้นทุนเพื่อนำเสนอแพ็กเกจราคาประหยัดให้กับนักท่องเที่ยวได้ ซึ่งการบริหารจัดการต้นทุนสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การนำเทคโนโลยีมาปรับใช้อย่าง AI, Automation ในการบริการลูกค้าและบริหารจัดการโรงแรม รวมถึงการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนที่จะช่วยลดค่าใช้จ่ายให้กับธุรกิจในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นการใช้พลังงานจาก Solar cell, การใช้รถยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น อ่านต่อรายงานฉบับเต็มได้ที่... https://www.scbeic.com/th/detail/product/tourism-survey-091224 ผู้เขียนบทวิเคราะห์ : ปุญญภพ ตันติปิฎก นักวิเคราะห์อาวุโส ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC)

วิพากษ์นักท่องเที่ยวเข้าไทย หุ้นรับอานิสงส์มีอะไรบ้าง?

วิพากษ์นักท่องเที่ยวเข้าไทย หุ้นรับอานิสงส์มีอะไรบ้าง?

          หุ้นวิชั่น- บล.ดาโอ ระบุว่า นักท่องเที่ยวสัปดาห์ล่าสุด (14-20 ต.ค.) ทรงตัว WoW จากจีน, อินเดีย, รัสเซียเพิ่ม แต่มาเลเซียลด รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยข้อมูลจำนวนนักท่องเที่ยวสัปดาห์ที่ผ่านมา (14-20 ต.ค.) มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งสิ้น 575,142 คน (-0.05% WoW/+12% YoY) คิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าประเทศไทยเฉลี่ยวันละ 82,163 คน โดยประเทศมี % เพิ่มขึ้นตามลำดับดังนี้ 1) รัสเซีย 29,628 คน (+21% WoW), 2) จีน 93,223 คน (+8% WoW/+57% YoY) และ 3) อินเดีย 39,900 คน (+6% WoW/+25% YoY) ขณะที่ประเทศมี % ลดลงตามลำดับดังนี้ 1) มาเลเซีย 77,723 คน (-9% WoW/-6% YoY) และ 2) เกาหลีใต้ 29,313 คน (-5% WoW) โดยการเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะไกล (Long haul) เดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้น จากการเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยวของภูมิภาคยุโรป และภูมิภาคอเมริกา โดยเดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้น 11.56% จากสัปดาห์ก่อนหน้า โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวรัสเซียที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 5,191 คน หรือ 21.54% จากสัปดาห์ก่อนหน้า และขยับขึ้นมาเป็นกลุ่มที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเป็นอันดับที่ 4 จากเดิมในอันดับที่ 5 ขณะที่นักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะใกล้ (Short haul) เดินทางเข้ามาลดลง จากการชะลอตัวด้านการเดินทางก่อนมีวันหยุดต่อเนื่องของนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย สำหรับจำนวนนักท่องเที่ยวสะสมตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-20 ต.ค. 24 ทั้งสิ้น 27,794,011 คน เพิ่มขึ้น +30% YoY (ที่มา: กองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา)           บล.ดาโอ มองเป็นกลางต่อกลุ่มท่องเที่ยวจากตัวเลขนักท่องเที่ยวที่ทรงตัว WoW แต่ยังมีนักท่องเที่ยวจีน, อินเดีย, รัสเซียปรับตัวเพิ่มขึ้น ถึงแม้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวรวมจะทำได้แค่ทรงตัวเพราะนักท่องเที่ยวมาเลเซียปรับตัวลดลง           ขณะที่นักท่องเที่ยวหลักอย่างจีน, อินเดีย, รัสเซียมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเราประเมินจำนวนนักท่องเที่ยวรวมเฉลี่ยรายสัปดาห์ในช่วง 21-27 ต.ค.67 จะค่อยๆเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะการเข้าสู่ช่วง High season ของไทย และจะเริ่มมากขึ้นอีกในเดือน พ.ย.-ธ.ค. 24 ที่มีหลายเทศกาลเข้ามาช่วยหนุน ทั้งนี้ ภาพรวมของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งปี 2024E ยังอยู่ในกรอบประมาณการนักท่องเที่ยวรวมและนักท่องเที่ยวจีนที่ประเมินไว้           โดยหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากนักท่องเที่ยวจีนที่เพิ่มขึ้น เรียงลำดับจากมากไปน้อยตามสัดส่วนรายได้จากนักท่องเที่ยวจีน ได้แก่ ERW, CENTEL, MINT, SHR           คงประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวรวมปี 2024E เพิ่มขึ้น +21% YoY และนักท่องเที่ยวจีน +84% YoY เรายังคงประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวรวมปี 2024E จะอยู่ที่ 34 ล้านคน เพิ่มขึ้น +21% YoY และคาดจำนวนนักท่องเที่ยวจีนจะอยู่ที่ 6.5 ล้านคน เพิ่มขึ้นถึง +84% YoY ให้น้ำหนักการลงทุนเป็น “เท่ากับตลาด” โดย Top pick ของกลุ่มท่องเที่ยวเรายังชอบ AAV, AOT AAV (ซื้อ/เป้า 3.20 บาท) 3Q24E จะยังมีกำไรปกติได้แม้จะอยู่ในช่วง low season จากผู้โดยสารและค่าตั๋วโดยสารที่ยังดี ขณะที่ 4Q24E จะดีขึ้นโดดเด่นจากการเริ่มเข้าสู่ high season AOT (ซื้อ/เป้า 72.00 บาท) จากแนวโน้มกำไร 1Q-2QFY25E ที่จะยังโต YoY ดีต่อเนื่อง

ลดดอกเบี้ยท่องเที่ยวเฮ! หุ้นอะไร? รับประโยชน์

ลดดอกเบี้ยท่องเที่ยวเฮ! หุ้นอะไร? รับประโยชน์

           หุ้นวิชั่น - บล.ดาโอชี้ ดอกเบี้ยที่ลดลงส่งผลบวกต่อดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลงและกระตุ้นนักท่องเที่ยวให้มากขึ้น            กนง. ลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ส่งผลบวกต่อกลุ่มท่องเที่ยว วานนี้ กนง. มีมติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% มาอยู่ที่ 2.25% ซึ่งจะช่วยให้ค่าเงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าลง และจะช่วยจูงใจให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาได้มากขึ้น            บล. ดาโอมองเป็นบวกต่อกลุ่มท่องเที่ยวจากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงเพราะจะช่วยลดภาระดอกเบี้ยจ่ายลงได้ รวมถึงจะช่วยจูงใจให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเพิ่มขึ้นได้ โดยเราประเมินหุ้นที่จะได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยลงทุกๆ 0.25% อิงจากยอดเงินกู้ในงวด 2Q24 จะเป็น upside ต่อประมาณการกำไรสุทธิปี 2025E โดยเรียงจากมากไปน้อย ได้แก่ ERW จะมี upside ต่อประมาณการกำไรสุทธิปี 2025E ที่ +2.4% เพราะมีสัดส่วนเงินกู้ในไทยสูงที่สุดถึง 88% และเป็น Float rate ที่ 100% (Fig 1) SHR จะมี upside ต่อประมาณการกำไรสุทธิปี 2025E ที่ +1.7% เพราะฐานกำไรที่ไม่สูงมาก โดยมีสัดส่วนเงินกู้ในไทยที่ 41% และเป็น Float rate ที่ 47% (Fig 2) CENTEL จะมี upside ต่อประมาณการกำไรสุทธิปี 2025E ที่ +0.5% เพราะมีสัดส่วนเงินกู้ในไทยราว 90% และเป็น Float rate ที่ 40% (Fig 3) MINT จะมี upside ต่อประมาณการกำไรสุทธิปี 2025E ที่ +0.3% โดย MINT ได้ประโยชน์น้อยสุดเพราะมีสัดส่วนเงินกู้ในไทยเพียง 30% แต่หากรวมเงินกู้สกุลเงินยูโรทีมีสัดส่วนถึง 60% จะทำให้มี Upside เพิ่มอีก 0.6%            ขณะที่กลุ่มสายการบินจะได้รับผลกระทบจำกัดเช่นกัน ได้แก่ AAV จะมี upside ต่อประมาณการกำไรสุทธิปี 2025 ที่ +0.6% ส่วน AOT จะไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ            เราให้น้ำหนักการลงทุนเป็น “เท่ากับตลาด” โดย Top pick ของกลุ่มท่องเที่ยวเรายังชอบ MINT            MINT (ซื้อ/เป้า 34.00 บาท) จาก valuation ยังถูกกว่ากลุ่มฯซื้อขาย 2024E EV/EBITDA ที่ 10x (-2.00SD below 10-yr average EV/EBITDA) ถูกกว่า ERW และ CENTEL ที่ average EV/EBITDA ขณะที่เราคาดว่า 3Q24E จะโต YoY ได้ต่อเพราะยังเป็น High season ที่ยุโรป โดย RevPAR ที่ยุโรปยังเพิ่มขึ้นได้ดีที่ +15% YoY และมี ADR เพิ่มขึ้นได้ +12% YoY ส่วนไทย RevPAR เพิ่มขึ้นได้ที่ +16% YoY ส่วน 4Q24E จะมี High season จากไทยและมัลดีฟส์ช่วยหนุน

abs

เจมาร์ท สร้างความสามารถในการแข่งขัน ด้วยการสร้าง Synergy Ecosystem

วิเคราะห์มูลค่า MINT ท่องเที่ยวยุโรปฟื้น ได้ดีแค่ไหน?  

วิเคราะห์มูลค่า MINT ท่องเที่ยวยุโรปฟื้น ได้ดีแค่ไหน?  

          หุ้นวิชั่น - ล่าสุดเดือนก.ค.และส.ค.2567 สเปน มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้น 7% yoy และ 9% yoy ตามลำดับ ซึ่งสเปนเป็นประเทศที่ MINT มีธุรกิจอยู่มากสุดในยุโรป รายได้จากโรงแรมในสเปนมีสัดส่วนราว 31% ของรายได้จากโรงแรมในยุโรปและสหรัฐในไตรมาส 2/67           ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า ในไตรมาส 3/67 สถิตินักท่องเที่ยวของยุโรปยังแข็งแกร่ง จากข้อมูลของ Instituto Nacional de Estadistica ระบุว่า เดือนก.ค.และส.ค.67 สเปนมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้น 7% yoy และ 9% yoy ตามลำดับ ซึ่งสเปนเป็นประเทศที่ MINT มีธุรกิจอยู่มากสุดในยุโรป รายได้จากโรงแรมในสเปนมีสัดส่วนราว 31% ของรายได้จากโรงแรมในยุโรปและสหรัฐในไตรมาส 2/67           ขณะที่นักท่องเที่ยวของอิตาลีเพิ่มขึ้น 13% yoy ในเดือนก.ค. 67 ซึ่งรายได้จากโรงแรมในอิตาลีมีสัดส่วนราว 22% ของรายได้จากธุรกิจโรงแรมในยุโรปและสหรัฐฯในไตรมาส 2/67 จึงมองว่าสถิตินักท่องเที่ยวที่แข็งแกร่งจะส่งผลดีต่อโรงแรมของ MINT ในสเปนและอิตาลี ซึ่งคิดเป็นครึ่งหนึ่งของจำนวนโรงแรมในยุโรปและสหรัฐฯของบริษัท ส่วนประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 28% yoy ในไตรมาส 3/67 จึงเชื่อว่าปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลดีต่อ MINT           โรงแรมส่วนใหญ่ของ MINT ในยุโรปและสหรัฐฯอยู่ภายใต้กลุ่ม NH Hotel Group ซึ่ง MINT ถือหุ้น 96% ทั้งนี้ โรงแรมของ MINT ในยุโรปทำรายได้คิดเป็น 62% ของรายได้รวมจากธุรกิจโรงแรมในไตรมาส 1/67 เนื่องจากเป็นโลว์-ซีซั่น และเพิ่มเป็น 75% ในไตรมาส 2/67 ซึ่งเป็นไฮ-ซีซั่น           ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI มองว่า แม้ธุรกิจอาหารของ MINT ในไตรมาส 3/67 จะยังมีผลการดำเนินงานอ่อน เนื่องจากอุปสงค์ในประเทศอ่อนแอ แต่คาดว่าจะค่อยๆดีขึ้น หลังรัฐบาลมอบเงิน 1.45 แสนล้านบาทถึงมือผู้มีรายได้น้อย 14.5 ล้านคนในปลายเดือนก.ย.67 จึงคาดว่า MINT จะมีอัตราการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ที่ -1% yoy และมีอัตราการเติบโตของยอดขายรวม (TSSG) อยู่ที่ +3% yoy ในไตรมาส 3/67           ขณะที่คาดว่า Wealth Effect ที่เพิ่มขึ้นจากการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นและ sentiment ที่ดีขึ้น น่าจะช่วยให้ผล ประกอบการของธุรกิจอาหารกลับมาฟื้นตัวในไตรมาส 4/67 และปี 68           โรงแรมของ MINT ในยุโรปน่าจะยังมีรายได้เติบโตสูงจากสถิตินักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่แข็งแกร่ง แต่ยังต้องจับตาดูอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ของธุรกิจโรงแรม ซึ่งลดลงจาก 42.4% ในไตรมาส 2/66 เป็น 40.0% ในไตรมาส 2/67 เนื่องจากต้นทุนสูงขึ้น จึงทำประมาณการ GPM ของธุรกิจโรงแรมอยู่ที่เพียง 38.0% ในไตรมาส 3/67 เทียบกับ 41.5% ในไตรมาส 3/66 โดยคาดว่า MINT จะทำกำไรสุทธิ 2,488 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% yoy แต่จะลดลง 12% qoq ในไตรมาส 3/67           ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI เชื่อว่าการที่โรงแรมในยุโรปของ MINT มีผลกำไรดีในไตรมาส 3/67 เพราะได้แรงหนุนจากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่แข็งแกร่ง น่าจะทำให้ราคาของ MINT ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากราคาหุ้นขณะนี้ยัง underperform ตลาด (MINT -3% YTD vs. SET +2% YTD) ขณะที่คาดว่า MINT จะมีกำไรสุทธิเติบโตสูงในปี68-69 เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวน่าจะเติบโตต่อเนื่องและดอกเบี้ยจ่ายจะลดลงจากแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ย           ดังนั้นจึงยังแนะนำ “ซื้อ” MINT แต่เลื่อนปีฐานในการประเมินมูลค่า ทำให้ราคาเป้าหมายในปัจจุบันอยู่ที่ 41 บาท เท่ากับ EV/EBITDA 9.5 เท่าในปี 69 หรือยังเท่ากับ -1SD ของค่าเฉลี่ยห้าปี อย่างไรก็ตามอาจมี downside risk หากบริษัทมีขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนสูงและอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของยุโรปชะลอตัวรุนแรง

พฤอา
311234567891011121314151617181920212223242526272829301234567891011