หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2567 สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้มีการประกาศปรับปรุงแนวทางกำกับดูแล Utility Token โดยมีสาระสำคัญในการยกเว้นการกำกับดูแลกลุ่มโทเคนดิจิทัลที่เน้นการอุปโภคบริโภค หรือใช้แทนใบรับรองสิทธิต่าง ๆ (Consumption-based utility token) หรือที่เรียกว่า “Utility Token กลุ่มที่ 1” โดยมีเงื่อนไขห้ามผู้ประกอบธุรกิจให้บริการโทเคนกลุ่มนี้ (ผู้ประกอบธุรกิจ หมายถึง ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล นายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล และผู้ค้าสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับอนุญาตและอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต.) ยกเว้นโทเคนที่มีบทบาทสนับสนุนกลไกการพัฒนาประเทศตามที่ ก.ล.ต. กำหนด
Carbon Credit และ Renewable Energy Certificate (REC) คืออะไร?
- Carbon Credit หรือคาร์บอนเครดิต คือ หน่วยที่แสดงถึงปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ถูกลด ดูดซับ หรือกักเก็บโดยโครงการหรือกิจกรรมที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่มีความน่าเชื่อถือและเป็นที่ยอมรับ โดย หน่วยวัดที่แสดงถึงการลด ดูดซับ หรือกักเก็บก๊าซเรือนกระจก1 หน่วย = 1 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า โดยต้องผ่านการรับรองจากหน่วยงานมาตรฐาน เช่น VERRA หรือ Gold Standard
- Renewable Energy Certificate (REC) คือ ใบรับรองที่แสดงถึงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ทั้งสองสิ่งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อโลกและเศรษฐกิจสีเขียว เนื่องจากช่วยส่งเสริมการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด และขับเคลื่อนเป้าหมายของโลกในการบรรลุ Carbon Neutrality และ Net Zero โดย ใบรับรองการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (เช่น โซลาร์เซลล์ ลม ชีวมวล)1 REC = 1 เมกะวัตต์-ชั่วโมง (MWh) ของไฟฟ้าสะอาด โดยต้องผ่านการตรวจสอบจากผู้ตรวจสอบอิสระ (Auditor)
องค์ประกอบของระบบคาร์บอนเครดิตในประเทศไทย
ตัวอย่างมาตรฐานที่สำคัญในการรับรอง Carbon Credit ในระดับสากล
- VERRA (VCS) : มาตรฐานระดับสากลที่ใช้รับรองการลดก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก
- Gold Standard: มาตรฐานที่ให้ความสำคัญกับโครงการที่มีผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
ในส่วนของประเทศไทย มีมาตราฐานที่เป็นของตัวเอง โดยมีผู้รับรองการออกคือองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.)
- T-VER (Thailand Voluntary Emission Reduction Program): มาตรฐานรับรองการลดก๊าซเรือนกระจกของไทย และ T-VER Premium: มาตรฐานระดับพรีเมียมที่เน้นโครงการที่มีประสิทธิภาพและผลประโยชน์ทางสิ่งแวดล้อมชัดเจนยิ่งขึ้น
Carbon Credit ในประเทศไทยได้มาผ่านระบบที่มีองค์ประกอบสำคัญ คือ:
- ผู้พัฒนาโครงการ (Issuer): หน่วยงานหรือองค์กรที่พัฒนาและดำเนินโครงการลดก๊าซเรือนกระจก เป็นเจ้าของโครงการนั้นๆ
- ระบบทะเบียน (Registry): ระบบฐานข้อมูลที่บันทึกและติดตามสถานะของ Carbon Credit เช่น ระบบทะเบียนคาร์บอนเครดิตของ อบก. ซึ่งทำหน้าที่เป็นนายทะเบียนบันทึกจำนวนหน่วยคาร์บอนเครดิต
- ผู้ตรวจสอบ (VVB – Validation and Verification Body): หน่วยงานที่ทำหน้าที่ตรวจสอบและรับรองปริมาณการลดก๊าซเรือนกระจกตามมาตรฐาน ซึ่งในประเทศไทย VVB จะต้องได้รับการอนุมัติจาก อบก. ก่อนเท่านั้น และทำงานร่วมกับ อบก.
- ตลาดการแลกเปลี่ยน : ตลาดที่มีการซื้อขาย Carbon Credit เช่น ตลาด FTIX และตลาดที่อยู่ในช่วงการพัฒนาและทดลองใช้ภายใต้การกำกับดูแลโดย อบก.
มาตรฐาน Renewable Energy Certificate (REC)
มาตรฐาน REC ที่ได้รับความนิยมระดับโลกคือ International REC Standard (I-REC) ซึ่งเป็นระบบที่ช่วยรับรองและติดตามการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน โดย REC จะได้มาจากโรงไฟฟ้าที่ผลิตพลังงานหมุนเวียน และได้รับการตรวจสอบจากหน่วยงานที่ได้รับการรับรอง (Auditor) ว่าพลังงานที่ผลิตนั้นมาจากแหล่งพลังงานสะอาดจริง โดยจะมีการบันทึกและออกใบรับรองผ่านระบบทะเบียน REC ที่เป็นมาตรฐานสากล ซึ่งในประเทศไทยนั้น การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นผู้ดำเนินการลงทะเบียนและบันทึก REC ผ่านแพลตฟอร์มของ I-REC และมีการซื้อขายแลกเปลี่ยนบนแพลตฟอร์มที่รองรับ เช่น FTIX
Carbon Credit และ REC มีความสำคัญกับประเทศไทยอย่างไรบ้าง?
สถานการณ์ในประเทศไทยปัจจุบัน
ประเทศไทยดำเนินตลาดคาร์บอนเครดิตในรูปแบบ Voluntary Market ซึ่งองค์กรต่างๆ เข้าร่วมด้วยความสมัครใจ ยังไม่มีกฎหมายบังคับอย่างเป็นทางการ (Mandatory Market) แต่ประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านไปสู่ตลาดแบบบังคับผ่านระบบ Emission Trading Scheme (ETS) โดยมีการวางแผนและทดลองในบางภาคอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ประเทศไทยยังมีส่วนร่วมในการประชุม COP (Conference of Parties) และได้แสดงความมุ่งมั่นในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้สอดคล้องกับเป้าหมายระดับโลกที่ตั้งเป้าไว้ในข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) นอกจากนี้ ประเทศไทยกำลังอยู่ในขั้นตอนการร่างและเตรียมนำเสนอ พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อกำหนดกรอบกฎหมายและมาตรการที่ชัดเจนยิ่งขึ้นในการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก
ปัจจุบันองค์กรต่างๆ ในประเทศไทยเริ่มดำเนินการตรวจวัดและบริหารจัดการ Carbon Footprint for Organization (CFO) มากขึ้น เพื่อให้มีการรายงานและลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมทางธุรกิจอย่างชัดเจน เป็นอีกแนวทางหนึ่งในการสนับสนุนเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศ
ล่าสุดในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา คณะกรรมการ ก.ล.ต. ได้มีมติปรับปรุงหลักเกณฑ์ โดยอนุญาตให้ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล นายหน้า และผู้ค้าสินทรัพย์ดิจิทัลสามารถนำ Tokenized Carbon Credit, REC และ Carbon Allowance ที่อยู่ในรูปแบบพร้อมใช้ (Ready-to-use) มาให้บริการได้ ภายใต้เงื่อนไขที่สำคัญ 2 ข้อ คือ
- ต้องมีระบบหรือมาตรฐานการคัดเลือกและเพิกถอนโทเคนดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้มั่นใจในคุณภาพและความน่าเชื่อถือของโทเคนที่นำมาซื้อขาย
- ต้องมีระบบหรือมาตรฐานการเปิดเผยข้อมูลที่ชัดเจน ครบถ้วน และเพียงพอ เพื่อสร้างความโปร่งใสต่อนักลงทุน
ทำไม Carbon Credit และ REC ถึงสำคัญสำหรับประเทศไทย?
- CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) คือ มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป (EU) ที่มีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบในปี 2026 โดยจะเก็บภาษีนำเข้าสินค้า (เช่น เหล็ก อลูมิเนียม ปุ๋ย ซีเมนต์ ไฟฟ้า) ตามปริมาณคาร์บอนฟุตพรินต์ ที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิต
ผลกระทบต่อไทย:
- ไทยส่งออกไป EU มูลค่า3 แสนล้านบาทต่อปี(ข้อมูลปี 2566) โดยเฉพาะสินค้าเป้าหมาย CBAM เช่น ชิ้นส่วนรถยนต์ สินค้าเหล็ก
- หากผู้ผลิตไทยไม่ลดคาร์บอนฟุตพรินต์ จะถูกเก็บภาษีเพิ่มสูงถึง20-35% ของมูลค่าสินค้า ทำให้เสียเปรียบแข่งกับผู้ผลิตใน EU
- ดึงดูดการลงทุนสีเขียว (Green Investment) ซึ่งทางฝั่งนักลงทุนต่างชาติคัดกรอง ESG หนักขึ้น เช่น กองทุนระดับโลก เช่น BlackRock, GPIF ประกาศลงทุนเฉพาะบริษัทที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม
- สนับสนุนเป้าหมายชาติ Carbon Neutrality 2050 และ Net Zero 2065 : ประเทศไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกปีละ 370 ล้านตัน CO2 (อันดับ 21 ของโลก) โดยมีภาคพลังงานและยานยนต์ปล่อยสูงสุด (40%) ดังนั้น REC และ Carbon Credit ช่วยลดการพึ่งพาพลังงานฟอสซิล และฟื้นฟูระบบนิเวศควบคู่กัน
ผลกระทบเชิงบวกต่อประเทศไทยในระยะยาว
การปรับปรุงหลักเกณฑ์ของ ก.ล.ต. ครั้งนี้ สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ที่เล็งเห็นศักยภาพของเทคโนโลยีบล็อกเชนในการยกระดับตลาด Carbon Credit และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งจะส่งผลเชิงบวกในระยะยาวโดย:
- สร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรและ SMEs มีรายได้จากโครงการลดคาร์บอน
- เพิ่มสภาพคล่องของตลาดคาร์บอนและสร้างโอกาสการลงทุนสำหรับภาคธุรกิจ
- ส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางซื้อขายคาร์บอนเครดิตในภูมิภาค
- กระตุ้นเศรษฐกิจสีเขียวด้วยการดึงดูดการลงทุนและการใช้งานพลังงานสะอาดมากขึ้น ดึงดูดเงินลงทุน ESG (Environmental, Social, Governance) จากต่างชาติ
- เสริมสร้างภาพลักษณ์ของประเทศไทยในฐานะประเทศที่ให้ความสำคัญต่อการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง
ความท้าทายและข้อควรระวัง
นอกจากผลกระทบเชิงบวกแล้ว ยังมีสิ่งที่ประเทศไทยควรระวัง และเตรียมการเพื่อเข้าสู่เศรษฐกิจสีเขียวดังนี้
- ความเสี่ยงด้านการตรวจสอบ: การเปลี่ยนหน่วยให้มาเป็นโทเคนดิจิทัลต้องมีการเชื่อมระบบกันระหว่าง ผู้ใช้งานคาร์บอนเครดิต , คลาดแลกเปลี่ยน และ ระบบบันทึกทะเบียน ซึ่งถ้าทำไม่สมบูรณ์ อาจจะเกิดการนับซ้ำซ้อน (Double Counting) ซึ่งส่งผลลบกับความเชื่อมั่น
- การรับรู้ภาคประชาชน: ต้องสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับกลไกคาร์บอนเครดิตและ REC
- กฎหมายที่คลุมเครือ: ต้องการกรอบกำกับดูแลที่ชัดเจนเพื่อป้องกันการละเมิด
ในยุคที่ “คาร์บอน” คือค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่าย REC และ Carbon Credit ไม่เพียงช่วยลดภาระภาษี CBAM แต่ยังเปิดทางให้ไทยก้าวขึ้นเป็นผู้เล่นหลักในตลาดคาร์บอนโลก ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งรัฐปรับนโยบายสนับสนุน เอกชนลงทุนเทคโนโลยีสะอาด และประชาชนตื่นรู้เรื่องสิ่งแวดล้อม
การปรับนโยบายของสำนักงาน ก.ล.ต. สะท้อนความพร้อมของไทยในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลขับเคลื่อนเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ แม้มีอุปสรรคที่ต้องแก้ไข แต่ทิศทางนี้จะช่วยวางรากฐานให้ไทยก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านการเงินสีเขียวในอาเซียนอย่างแท้จริง
ที่มา : https://www.sec.or.th/TH/Pages/News_Detail.aspx?SECID=11644
ผู้เขียน : Suttirat Hanpanit, Head of Business Development – Token X