หุ้นวิชั่น – ตลาดหุ้นไทยยังเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีสหรัฐฯ ส่งผลให้ภาวะการลงทุนผันผวน นักลงทุนเริ่มตั้งคำถาม “จะรอก่อน หรือ ลุยเลย?”นักวิเคราะห์มองว่า ช่วงนี้อาจเป็นจังหวะดีสำหรับการทยอยสะสม “ไม้แรก” ในหุ้นพื้นฐานดี สำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้ และถือเพื่อลงทุนระยะกลางถึงยาว ขณะที่นักลงทุนสายระมัดระวัง ควรรอจังหวะตลาดนิ่ง แล้วค่อยเข้าซื้อเมื่อความชัดเจนกลับมา
บล.ยูโอบีฯ มั่นใจ SET ไม่ต่ำ 1,000 จุด ชู BANPU รับประโยชน์รัฐเจรจาสหรัฐ
นายเบญจพล สุทธิ์วนิช ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) (UOBKHST) แนะนำกลยุทธ์ลงทุน สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ ให้พักการลงทุนไปก่อน เนื่องจากตลาดหุ้นไทยในขณะนี้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental) แต่ขึ้นอยู่กับเกมภาษีโลก คาดว่าความไม่แน่นอนตรงนี้จะยังอยู่ไปอีกสักระยะหนึ่ง
ทั้งนี้หากถามว่าหุ้นลงมาเท่าไหร่ ถึงเรียกว่าปลอดภัย มองว่าด้วยกำไรต่อหุ้น (EPS) ของตลาดในปี 2568 น่าจะมีดาวน์ไซด์ 10% มาอยู่ที่ 85 บาท และ P/E ลงมาเหลือ 13 เท่า คาดว่าจุดต่ำสุด (Bottom) ของ SET จะอยู่ที่ 970 จุด อย่างไรก็ตามยังเชื่อว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยจะไม่หลุดระดับ 1,000 จุด อย่างแน่นอน
สำหรับนักลงทุนที่กำลังหาจังหวะเข้าลงทุน ให้ไม้แรกที่ดัชนีฯ ระดับ 1,080 จุด และไม้สอง ที่ 1,020 จุด พร้อมแนะนำหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการยืดระยะเวลาเก็บภาษี 90 วันของสหรัฐฯ ได้แก่
BANPU รับประโยชน์จากรัฐบาลเตรียมเจรจาผ่อนปรนภาษีกับสหรัฐ ซึ่งแนวทางการเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องภาษี จะมุ่งนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ มากขึ้น โดยเน้นสินค้าที่ไทยมีความต้องการใช้ในประเทศ เช่น สินค้าเกษตร เครื่องในสุกร รวมทั้งสินค้าพลังงาน เช่น ก๊าซธรรมชาติ ที่มีต้นทุนต่ำในสหรัฐฯ โดย BANPU ถือว่ามีการดำเนินงาน หรือโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ และมี Valuation ที่ถูก
STGT รับประโยชน์จากสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีจากจีนในอัตราสูง ส่งผลให้จะมีความต้องการซื้อสินค้า หรือผลิตภัณฑ์จากไทยและมาเลเซียมากขึ้น รวมถึงราคาหุ้นก็อยู่ในระดับต่ำด้วย
บล.ลิเบอเรเตอร์ มอง SET ใกล้ Bottom พร้อมชู 5 หุ้นเด่น
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ์ นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ลิเบอเรเตอร์ กลาวว่า แม้ SET จะถอยลงมาเยอะ แต่ท่าทีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังไม่อ่อนข้อให้กับจีน ทำให้ดาวน์ไซด์ยังมีอยู่ แต่ใกล้ถึงจุด Bottom แล้ว แนะนำกลยุทธ์ลงทุนในช่วงตลาดผันผวน เก็บเงินสดไว้ก่อน รอจังหวะเข้าไม้แรก (เช่น 30% ของเงินลงทุน 100 บาท) ที่โซน 1,050 จุด เน้นไปที่หุ้นพื้นฐานดี และราคาหุ้นไม่แพง เช่น CPF จากผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2568 ต้นทุนการผลิตปรับลดลงมาค่อนข้างมาก BDMS ราคาหุ้นไม่แพง เป็นหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีสหรัฐจำกัด และGULF รับขาขึ้นรอบใหม่ มองโซน 40 บาท เป็นจุดพอตั้งรับได้ อีกทั้งหุ้นได้ประโยชน์จากโอกาสคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับลดดอกเบี้ย ปลายเดือนเมษายนนี้ ได้แก่ MTC , CPALL เป็นต้น
ส่วนนักลงทุนเทรดดิ้ง แนะนำรอสถานการณ์ต่างๆ ชัดเจนกว่านี้ รวมถึงระวังแรงขายของหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์หลายตัว ที่จะขึ้นเครื่องหมาย XD ด้วย
อย่างไรก็ตามมองดัชนีฯ ต่ำสุดปีนี้ที่ 970 จุด เท่ากับช่วงโควิด-19 ซึ่งถือเป็นจังหวะที่จะเข้าได้อีกหนึ่งไม้ เชื่อว่าจุดนี้น่าจะมีแรงซื้อมหาศาลอย่างแน่นอน เนื่องจากหากหลุด 1,000 จุดลงมา ตลาดพร้อมที่จะตอบรับทั้งข่าวบวกและลบ ส่วนจะปรับขึ้นไปได้ถึงระดับไหน คาดว่ายังต้องรอเม็ดเงินต่างชาติไหลกลับ (Fund Flow) และรอให้นักวิเคราะห์ออกมา downgrade ทั้งในเรื่องของการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) และ EPS Growth
ขณะที่บล.ลิเบอเรเตอร์ คาด GDP ของไทยน่าจะเติบโตได้ราว 1% และ EPS น่าจะอยู่ที่ประมาณ 88 บาท
บล.หยวนต้า แนะแบ่ง 5 ไม้เข้าลงทุน แนะกลุ่มโรงไฟฟ้า
นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) มองเวลานี้ถึงจังหวะสะสมหุ้นแล้ว แต่ต้องทยอยแบ่งไม้เข้า และเลือกหุ้นที่พื้นฐานดี ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าน้อย เช่น
กลุ่มโรงไฟฟ้า มอง EGCO เด่นสุดในกลุ่ม จากเป็นโรงไฟฟ้า IPP และ GPSC, BGRIM จากราคาปรับตัวลงมาค่อนข้างมาก ทั้งนี้กลุ่มโรงไฟฟ้ามีแรงหนุนจากต้นทุนพลังงานปรับตัวลง ทั้งราคาน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ รวมถึงแนวโน้มดอกเบี้ยขาลงด้วย ทำให้ซึ่งช่วยชดเชยกับค่าไฟฟ้าที่ปรับตัวลดลงมาได้
นอกจากนี้ยังมองกลุ่มค้าปลีก, สื่อสาร, โรงพยาบาล และ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Investment Trust)
กลยุทธ์ลงทุน แนะแบ่งไม้ลงทุน ทยอยเข้า 5 ไม้ ทีละ 20% ของเงินลงทุน ส่วนพอร์ตเทรดดิ้ง เน้นเล่นหุ้นที่ลงมาลึก ลุ้นเด้งกลับ ให้แนวรับ 1,000 จุด, 1,050 จุด, 1,080 จุด 1,085 จุด และ 1,100 จุด