Key Highlights:
- แนวโน้มกลุ่มอุตสาหกรรมก่อสร้าง ยังมีปัจจัยหนุนจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐที่เติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการรถไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ผู้รับเหมารายใหญ่ ยังคงได้เปรียบในการแข่งขัน
- ในด้านผู้เล่นใหญ่ในอุตสาหกรรม ช.การช่าง (CK) ครองมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap) ถึง 80% และเป็นบริษัทที่ทำกำไรสุทธิได้สูงสุดของกลุ่ม ขณะที่ อิตาเลียนไทยฯ (ITD) ทำรายได้สูงสุด
- ในกลุ่มก่อสร้างโครงการภาครัฐ CK ถือเป็นผู้เล่นที่โดดเด่นในกลุ่ม และ ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง (UNIQ) โดดเด่นเรื่อง Dividend Yield สูง
กลุ่มธุรกิจก่อสร้างยังมีแนวโน้มขยายตัว
เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2568 เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ได้อนุมัติการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 4 โครงการใหญ่ รวมมูลค่ากว่า 2 แสนล้านบาท ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ของบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และโครงการ Data Center 3 โครงการจากบริษัทในไทย จีน และสิงคโปร์ สะท้อนการเติบโตของเทคโนโลยี AI และส่งเสริมการก้าวเข้าสู่การเป็นดิจิทัลฮับของไทย นอกจากนี้ ยังส่งผลดีต่อธุรกิจที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะ ธุรกิจก่อสร้าง
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) ประเมินการก่อสร้างภาครัฐในปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัว 3% จากการได้รับงบประมาณเพิ่มขึ้นของหน่วยงานหลักที่ลงทุนภาคก่อสร้าง ได้แก่ กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท กรมชลประทาน กรมโยธาธิการและผังเมือง และการเปิดประมูล การเริ่มก่อสร้างโครงการเมกะโปรเจกต์ต่างๆ ขณะที่ SCB EIC คาดการก่อสร้างภาคเอกชนจะขยายตัวเล็กน้อย จากแรงกดดันของตลาดที่อยู่อาศัยฟื้นตัวช้า โดยเฉพาะตลาดโครงการระดับราคาปานกลาง – ล่าง ท่ามกลางภาวะ Oversupply ของอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์
อย่างไรก็ตาม ผู้เล่นรายใหญ่ในอุตสาหกรรม ยังคงได้รับปัจจัยบวกเนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีความสามารถในการเข้าประมูลรับงานก่อสร้างจากโครงการภาครัฐ ซึ่งมีมูลค่าสูง มีสัดส่วนมากกว่าการก่อสร้างภาคเอกชน และเป็นโครงการลงทุนต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นโครงการรถไฟฟ้า มอเตอร์เวย์ รวมถึง Megaprojects ด้านการคมนาคมที่จะเปิดประมูลในปี 2568 นี้ รวมมูลค่าโครงการกว่า 4 แสนล้านบาท
CK ครองส่วนแบ่งตลาดใหญ่
ในกลุ่มผู้เล่นในอุตสาหกรรมก่อสร้าง สามารถแบ่งได้ตามกุล่มที่รับงานก่อสร้างโครงการภาครัฐเป็นหลัก กลุ่มที่รับงานภาคเอกชนเป็นหลัก กลุ่มที่รับงานก่อสร้างอื่นๆ กลุ่มควบคุมงานก่อสร้าง รวมไปถึงรับงานเฉพาะด้าน หากพิจารณาผู้เล่นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่รับงานโครงการภาครัฐเป็นหลัก ได้แก่ ITD, CK, NWR, RT, UNIQ, CIVIL, SQ ซึ่งจากข้อมูล มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) ในปัจจุบัน พบว่า CK ครองตลาดถึง 80% ตามมาด้วย UNIQ (6%), ITD (5%), CIVIL (4%), SQ (3%) ขณะที่บริษัทขนาดเล็กอย่าง RT และ NWR มีสัดส่วน 1%
ITD ทำรายได้สูงสุด แต่ CK ทำกำไรนำโด่ง
แม้ว่า ITD มีรายได้รวมในปี 2567 สูงสุดที่ 72,454.98 ล้านบาท ตามมาด้วย CK (38,763.91 ล้านบาท) และ UNIQ (10,448.46 ล้านบาท) ซึ่ง ITD และ CK เป็นกลุ่มผู้ประกอบการขนาดใหญ่ที่มีประสบการณ์ มีเป้าหมายการรับงานโครงการขนาดใหญ่ รวมถึงในต่างประเทศ และการลงทุนสร้างงานในลักษณะสัมปทานโครงการ จึงส่งผลให้มีโอกาสในการทำรายได้มากกว่าผู้เล่นในกลุ่ม แต่เมื่อดูที่กำไรสุทธิ พบว่า CK มีกำไรส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นสูงสุด มูลค่า 1,445.50 ล้านบาท ตามมาด้วย UNIQ (183.04 ล้านบาท), CIVIL (114.88 ล้านบาท) และ RT (71.15 ล้านบาท)
CIVIL – RT ใช้เงินทุนคุ้มค่า, UNIQ แจกปันผลสูงสุด
เมื่อดูอัตราส่วนผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) และผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (ROA) พบว่า CIVIL และ RT มี ROE สูงสุดที่ 6.2% และ 6.02% ตามลำดับในปี 2567 สะท้อนถึงประสิทธิภาพการใช้เงินทุนในการสร้างผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้นได้ดีเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ส่วน RT, UNIQ และ CK เด่นในด้าน ROA สะท้อนว่าบริษัทใช้สินทรัพย์ที่มีในการสร้างกำไรได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่าผู้เล่นในกลุ่ม ส่วนในแง่ของเงินปันผล UNIQ มี Dividend Yield สูงสุดที่ 3.95% ตามมาด้วย CK (2.09%) และ CIVIL (1.26%) สะท้อนว่าบริษัทเหล่านี้จ่ายเงินปันผลสูงในกลุ่มเมื่อเทียบกับราคาหุ้นในปัจจุบัน
กล่าวโดยสรุป CK ถือว่าเป็นผู้เล่นที่โดดเด่นในภาพรวม โดยติดสามอันดับแรก ทั้งในแง่ผลการดำเนินงาน การสร้างผลตอบแทน และการจ่ายปันผล จากการที่เป็นบริษัทขนาดใหญ่ในกลุ่ม ส่วน UNIQ อาจดึงดูดนักลงทุนที่ต้องการรายได้จากเงินปันผล และแม้ไม่ได้เป็นผู้เล่นใหญ่สุดในกลุ่ม แต่บริษัทมีความสามารถในการบริหาร ควบคุมต้นทุนดีขึ้นต่อเนื่องจากการซื้อเป็นจำนวนมาก
ปัจจัยเสี่ยง
- การแข่งขันที่รุนแรงจากผู้รับเหมาก่อสร้างจากจีน ส่งผลให้ผู้เล่นของไทยเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น และอาจเป็นแบบนี้ต่อไปในอนาคต นอกจากนั้น ยังเป็นการส่งเสริมให้มีการใช้สินค้าวัสดุก่อสร้างจากจีน จึงส่งผลกระทบต่อเนื่องทั้ง Supply Chain ของธุรกิจก่อสร้างในประเทศ
- การฟื้นตัวช้าของตลาดที่อยู่อาศัย จากอุปสงค์ที่มีการโอนกรรมสิทธฺ์ทั่วประเทศยังคงลดลงในปีที่ผ่านมาแม้จะมีแรงสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ในการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง อย่างไรก็ตาม REIC คาดการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2568 จะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องทั้งในด้านปริมาณและมูลค่าที่ 1.6% และ 1.4% ตามลำดับ
- ความล่าช้าของการเปิดประมูลโครงการก่อสร้างของภาครัฐ ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อรายได้ กระแสเงินสด และต้นทุนของบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรม
หมายเหตุ: การวิเคราะห์ข้างต้นเป็นการดูอัตราส่วนทางการเงินเบื้องต้นเทียบกับคู่แข่งในช่วงระยะเวลาเดียว (2024) ดังนั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน
อ่านรายละเอียดเพิ่ม ที่ https://app.visible.vc/shared-update/458bb195-88b7-4a0c-8827-d715d087bcb1