หุ้นวิชั่น – นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (WHA) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้มีการประกาศเลื่อนแผนการออกและเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรก และการนำหุ้นสามัญของ บริษัท ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (WHAID) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยจะเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด จากเดิมที่จะยื่นไฟลิ่ง หรือแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในช่วงเดือนเม.ย.นี้ และนำ WHAID เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ปลายปีนี้ ซึ่งรวมไปถึงการปรับโครงสร้างการถือหุ้นในบริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) (WHAUP) ด้วย
ทั้งนี้เนื่องด้วยสภาวการณ์ตลาดทุนที่มีความผันผวนมาก การตัดสินใจเดินหน้าธุรกรรมตามแผน IPO ในสถานการณ์เช่นนี้ อาจไม่ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อบริษัทฯ และผู้ถือหุ้น ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงเชื่อมั่นในแผนการลงทุนเพื่อสร้างโอกาสการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
“เราได้มีการเลื่อนแผนการนำ WHAID เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ออกไปก่อน หลังสภาพตลาดไม่ดี โดยนับตั้งแต่ต้นปีจะเห็นได้ว่า SET ปรับตัวลงไปกว่า 240 จุดแล้ว และยังไม่เห็นมาตรการของตลาดที่จะเข้าช่วยพยุงตลาดหุ้นไทยได้ ซึ่งก็มีการสอบถามกันมาอย่างมากว่า ถ้าตลาดไม่ดีเราจะยัง IPO อีกไหม และเราได้เรียนเสมอว่า ถ้าตลาดไม่ปกติเราไม่ IPO แน่นอน แต่เรายังยืนยันว่าการ Spin-Off เป็นผลดี แต่ด้วยตลาดไม่ดี ทำให้ต้องชะลอแผนดังกล่าวออกไปก่อน รวมถึงการยกเลิกการปรับโครงสร้าง WHAUP ด้วย
อย่างไรก็ตาม เรายังบอกไม่ได้ว่าจะกลับมา IPO ได้เมื่อไหร่ แต่ภายใน 2 ปีนี้ คงไม่มีแน่นอน ขณะเดียวกันเราก็มองโอกาสนำ WHAID เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นเวียดนาม ซึ่งเราก็ยอมรับว่าตลาดหุ้นเวียดนามดี” นางสาวจรีพร กล่าว
บริษัทฯ ยังคงวางเป้าหมายการเติบโตของรายได้และส่วนแบ่งกำไรเพิ่มขึ้น 2.9 เท่าภายในปี 2573 จากการเติบโตของทั้ง 5 กลุ่มธุรกิจหลัก ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจโมบิลิตี้ ธุรกิจพัฒนานิคมอุตสาหกรรม ธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงาน และธุรกิจดิจิทัล โดยยังคงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง
สำหรับปี 2568 บริษัทฯ ยังคงเป้าหมายรายได้และส่วนแบ่งกำไรกว่า 20,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35% จากปีก่อน และคงอัตรากำไร EBITDA Margin มากกว่า 45%
ด้านแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2568 คาดว่าจะยังเติบโตดี จากปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอการโอนกรรมสิทธิ์ (Backlog) 1,535 ไร่ ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ และได้เซ็นสัญญาขายที่ดินให้ลูกค้ารายใหญ่กว่า 1,000 ไร่ โดยรับรู้รายได้ไปแล้ว 600 ไร่ ในปี 2567 ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ภายในปีนี้ นอกจากนี้ยังมีอยู่ระหว่างเจรจาเพิ่มอีกกว่า 1,000 ไร่ โดยกลุ่มลูกค้าหลักยังมีจากกลุ่มยานยนต์ คอนซูเมอร์ ไฮเทค เป็นต้น
บริษัทฯ คงงบลงทุนรวมปีนี้ไว้ที่ 20,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 1.ธุรกิจโลจิสติกส์ 4,000 ล้านบาท 2.ธุรกิจโมบิลิตี้ 1,500 ล้านบาท 3.ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม 9,900 ล้านบาท 4.ธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงาน 4,500 ล้านบาท และ 5.ธุรกิจดิจิทัล จำนวน 450 ล้านบาท
บริษัทฯ มองเห็นโอกาสการเติบโตในทุกกลุ่มธุรกิจ และได้วางเป้าหมายของแต่ละธุรกิจ ดังนี้
1) ธุรกิจโลจิสติกส์ เตรียมขยายธุรกิจโลจิสติกส์ทั้งในไทยและเวียดนาม โดยมุ่งเน้นพื้นที่ยุทธศาสตร์ เช่น สมุทรปราการ EEC และเมืองรองของประเทศไทย รวมทั้งขยายคลังสินค้าขนาดใหญ่ในเวียดนาม เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซและอุตสาหกรรมส่งออก ตั้งเป้าสร้างโครงการใหม่ประมาณ 200,000 ตารางเมตร ภายในปี 2568 ซึ่งจะทำให้สินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการเพิ่มเป็นประมาณ 3,309,000 ตารางเมตร และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 4,297,000 ตารางเมตร ในอีก 5 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ สำหรับ บริษัท ดับบลิวเอชเอ จีซี โลจิสติกส์ จำกัด (WGCL) มุ่งเป้าสู่การยกระดับจากการให้บริการการจัดการขนส่งและคลังสินค้า (3PL) ไปสู่การวางแผน ออกแบบ และบูรณาการระบบโลจิสติกส์อย่างครบวงจร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดให้กับบริษัทและลูกค้า (4PL) โดยอาศัยจุดแข็ง และความเชี่ยวชาญร่วมของ WHA และ PTTGC เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มในธุรกิจโลจิสติกส์
2) ธุรกิจโมบิลิตี้ (ภายใต้แบรนด์ Mobilix) อีกหนึ่งธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง ซึ่งในปัจจุบันประกอบไปด้วย 3 บริการหลัก ได้แก่ บริการให้เช่ารถยนต์ไฟฟ้า (EV Rental Service) บริการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (On Premise & Public EV Charging Solution) และโมบิลิกส์ซอฟต์แวร์โซลูชัน (Mobilix Software Solution) ซึ่งมุ่งเน้นการให้บริการกลุ่มลูกค้า B2B โดยตั้งเป้าจำนวนผู้ใช้บริการรถเช่าสะสมจำนวน 1,700 คันภายในปี 2568 และเป็น 20,000 คัน ภายในปี 2572
3) ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ยังเติบโตต่อในฐานะผู้นำในตลาดนิคมอุตสาหกรรมของประเทศไทย และเร่งขยายการเติบโตในประเทศเวียดนาม เพื่อดึงดูดนักลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค กลุ่มดาต้าเซนเตอร์ และกลุ่มสมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น โดยตั้งเป้าจะเพิ่มจำนวนนิคมอุตสาหกรรมและเขตประกอบการอุตสาหกรรมในประเทศไทยและประเทศเวียดนามจากทั้งหมด 15 แห่งเป็น 17 แห่งภายในปี 2568 นอกจากนี้ WHAID ตั้งเป้าที่จะพัฒนาที่ดินอุตสาหกรรมในอีก 5 ปีข้างหน้า เพิ่มอีก 12,700 ไร่ รวมเป็น 88,000 ไร่
ล่าสุด WHAID ประกาศเดินหน้าโครงการนิคมอุตสาหกรรม WHA Eastern Seaboard Industrial Estate 5 (WHA ESIE 5) เฟสที่ 1 บนพื้นที่กว่า 4,000 ไร่ ในพื้นที่อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง พร้อมให้นักลงทุนเริ่มเข้าก่อสร้างได้ปลายปี 2568 โดยมุ่งเน้นรองรับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สินค้าอุปโภคบริโภค อุตสาหกรรมสมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า อุตสาหกรรมดาต้าเซนเตอร์ ซึ่งจะช่วยผลักดันประเทศไทยให้ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมแห่งอนาคตระดับโลก
4) ธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงาน สำหรับธุรกิจสาธารณูปโภค มุ่งขยายธุรกิจน้ำอุตสาหกรรมและบำบัดน้ำเสียทั้งในประเทศไทยและประเทศเวียดนาม โดยจะเดินหน้าพัฒนา Smart Water Solutions เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินการ โดยตั้งเป้ายอดจำหน่ายน้ำและบำบัดน้ำเสียรวมประมาณ 173 ล้านลูกบาศก์เมตรภายในปี 2568 และเพิ่มเป็นประมาณ 280 ล้านลูกบาศก์เมตรในปี 2572 สำหรับธุรกิจพลังงาน มุ่งขยายการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนทั้งในประเทศไทยและประเทศเวียดนาม ควบคู่ไปกับการเดินหน้าพัฒนาโซลูชันพลังงานใหม่ โดยตั้งเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดเป็น 1,185 เมกะวัตต์ภายในปี 2568 และเพิ่มเป็นประมาณ 1,600 เมกะวัตต์ในปี 2572
5) ธุรกิจดิจิทัล ซึ่งเป็นธุรกิจที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งในการนำเทคโนโลยีต่างๆ เช่น AI และ IoT มาประยุกต์ใช้ในแต่ละธุรกิจภายในกลุ่มบริษัทฯ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการดำเนินงาน โดยตั้งเป้าหมายพัฒนา 5 แอปพลิเคชันใหม่ ภายในปี 2568
บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นในการสร้างความเติบโตของธุรกิจ ตลอดจนการสร้างประโยชน์สูงสุดให้แก่ผู้ถือหุ้น ลูกค้า คู่ค้า และผู้มีส่วนได้เสียในทุกส่วน สอดคล้องกับพันธกิจ “WHA: WE SHAPE THE FUTURE” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างอนาคตที่มั่นคงและยั่งยืนให้กับผู้คน สังคม และประเทศไทยต่อไป ซึ่งบริษัทสามารถใช้กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน และการจัดหาแหล่งเงินทุนต่างๆ มาลงทุนตามแผนธุรกิจและงบลงทุน โดยยังคงรักษาอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุนในระดับต่ำกว่า 1.20 เท่า แม้จะชะลอแผน IPO ของ WHAID
นางสาวจรีพร กล่าวถึงราคาหุ้นของบริษัทที่ปรับตัวลดลงนั้น เป็นผลจากสภาพของตลาด โดยยืนยันว่าไม่เกี่ยวกับผลการดำเนินงานของบริษัทแต่อย่างใด โดยบริษัทมองว่าหน่วยงานกำกับดูแล ควรพิจารณา ยกเลิกการ Short Sell เนื่องจากเป็นตัวการที่ทำให้หุ้น WHA ร่วงในรอบนี้ ขณะเดียวกันอยากให้คำนึงถึงเรื่องธรรมาภิบาลด้วย ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญ โดยในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้พูดคุยกับหลาย กองทุน และหลังจากนี้จะมีการพูดคุยเพิ่มเติม ภายหลังจากที่มีการเลื่อนแผนการ Spin Off WHAID ออกไป
ส่วนการออกกองทุน THAI ESGX คาดว่าจะชะลอการขายได้บ้าง ขณะที่บริษัท จัดอยู่ในบริษัทที่เป็น ESG ซึ่งเป็นอีกบริษัทที่กองทุนจะซื้อได้