หุ้นวิชั่น – JMT คาดกำไรปี 68 ฟื้นตัวใกล้เคียงปี 66 ผลงานทำนิวไฮ เตรียมงบ 2,000 ล้านบาทเพื่อซื้อหนี้รายย่อยไม่มีหลักประกันมูลค่ารวม 10,000 ล้านบาทในครึ่งปีหลัง พร้อมยกระดับการจัดเก็บหนี้ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยและการจัดการแบบครบวงจร มั่นใจเสริมศักยภาพบริหารพอร์ตหนี้กว่า 530,000 ล้านบาท
นายสุทธิรักษ์ ตรัยชิรอาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT เปิดเผยถึงแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 4/2567 ซึ่งจะมีการรายงานประมาณวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568 โดยระบุว่าผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2567 ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าในปี 2568 บริษัทจะสามารถกลับมาทำกำไรในระดับปกติ ใกล้เคียงกับผลประกอบการในปี 2566 (2023)หรือมีทำสถิติสูงสุดใหม่ได้
สำหรับปี 2568 บริษัทได้ตั้งเป้าหมายการเติบโตโดยเน้นการซื้อหนี้กลุ่มลูกหนี้รายย่อยที่ไม่มีหลักประกัน ซึ่งมีแนวโน้มที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดี โดย JMT ได้จัดสรรงบประมาณสำหรับการซื้อหนี้ในปี 2568 ไว้ที่ 2,000 ล้านบาท และคาดว่าจะสามารถซื้อหนี้ได้มูลค่ารวมถึง 10,000 ล้านบาท ซึ่งการซื้อหนี้ดังกล่าวคาดว่าจะเริ่มต้นขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 เป็นหลัก เนื่องจากในช่วงครึ่งปีแรกอาจมีโครงการช่วยเหลือจากภาครัฐ เช่น โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ที่จะช่วยบรรเทาภาระของลูกหนี้ และอาจทำให้ตลาดยังไม่เห็นการขายหนี้ออกมาในช่วงเวลาดังกล่าว
นายสุทธิรักษ์ ยังระบุเพิ่มเติมว่า ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 บริษัทจะเน้นการปรับปรุงประสิทธิภาพการบริหารจัดการ โดยเฉพาะในเรื่องของการตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) และการเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการจัดเก็บหนี้ ด้วยความเชี่ยวชาญของ JMT ในการบริหารจัดการหนี้ ทำให้บริษัทมีพอร์ตหนี้ภายใต้การบริหารจัดการกว่า 530,000 ล้านบาท
JMT มุ่งมั่นพัฒนากระบวนการจัดเก็บหนี้ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาใช้ในกระบวนการจัดเก็บหนี้ ตั้งแต่การรวมหนี้ การแก้ปัญหาให้ลูกหนี้แบบครบวงจร ไปจนถึงการพัฒนาระบบฐานข้อมูลลูกหนี้ที่ทันสมัย เพื่อให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลลูกหนี้ได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น และช่วยเพิ่มโอกาสในการจัดเก็บหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ด้วยกลยุทธ์ดังกล่าว บริษัทมั่นใจว่า JMT จะสามารถสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน และเพิ่มความมั่นคงในผลประกอบการได้อย่างต่อเนื่องในปี 2568 ซึ่งจะช่วยเสริมความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและผู้ถือหุ้นในระยะยาวต่อไป