หุ้นวิชั่น – GULF ประเมินจัดเก็บภาษีบริษัทข้ามชาติขั้นต่ำ กระทบเล็กน้อย คาดกระทบรายได้ไม่เกิน 0.5% และกำไรไม่เกิน 2% พร้อมประสบความสำเร็จ เครื่องโรงไฟฟ้าหินกองหน่วยผลิตที่ 2 ขนาด 700 เมกะวัตต์ ตามกำหนด พร้อมเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์โครงการโซลาร์ฟาร์มรวม 5 โครงการ ขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญา 295 เมกะวัตต์ ดันกำลังผลิตรวมเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2568 บริษัท หินกองเพาเวอร์ จำกัด ซึ่งเป็นการร่วมค้าที่บริษัทฯ ถือหุ้นร่วมกับ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ในสัดส่วนร้อยละ 49 และ 51 ตามลำดับ โดยเป็นผู้ดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าเอกชนขนาดใหญ่ (Independent Power Producer: IPP) ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าหินกอง (“HKP”) ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์หน่วยผลิตที่ 2 ซึ่งเป็นหน่วยการผลิตสุดท้ายของโครงการ มีขนาดกำลังการผลิตตามสัญญา 700 เมกะวัตต์ (ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 770 เมกะวัตต์) โดยจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (“กฟผ.”) เป็นที่เรียบร้อยตามกำหนด (โดยหน่วยผลิตที่ 1 กำลังการผลิตติดตั้ง 770 เมกะวัตต์ เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา)
โครงการ HKP เป็นโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม (Combined-Cycle Gas Turbine) ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง โดยมีบริษัท หินกองเพาเวอร์โฮลดิ้ง จำกัด เป็นผู้จัดหาและนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) สำหรับใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า โดยโครงการ HKP มีขนาดกำลังการผลิตติดตั้งรวม 1,540 เมกะวัตต์ (แบ่งเป็น 2 หน่วยผลิต หน่วยผลิตละ 770 เมกะวัตต์) ตั้งอยู่ที่ตำบลหินกอง อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี โดยมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. เป็นระยะเวลา 25 ปี โครงการ HKP ถือเป็นโรงไฟฟ้าที่สำคัญเพื่อความมั่นคงและมีความจำเป็นต่อความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศ โดยเฉพาะในภาคกลาง ภาคตะวันตก และภาคใต้
การเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการ HKP ดังกล่าว เป็นการต่อยอดการเติบโตของกำลังการผลิตไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องของกลุ่มบริษัทฯ อีกทั้งสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของประเทศไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ เนื่องจากโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่าเชื้อเพลิงฟอสซิลประเภทอื่น ในขณะที่ยังคงเสถียรภาพในการผลิตไฟฟ้าให้อยู่ในระดับสูง จึงสามารถรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าในช่วงที่โรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนไม่สามารถผลิตไฟฟ้าได้อีกด้วย
นอกจากนี้ ได้แจ้งให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยทราบเรื่องการเข้าลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreement) ระหว่างกลุ่มบริษัทฯ กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(“กฟผ.”) เพื่อพัฒนาและดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เป็นระยะเวลา 25 ปี จำนวนรวมทั้งสิ้น 25 โครงการ ขนาด
กำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญารวมทั้งสิ้น 1,353.1 เมกะวัตต์ (ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 2,537.8 เมกะวัตต์) ประกอบด้วยโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน (solar farms) จำนวน 13 โครงการ ซึ่งมีขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญารวม 652.9เมกะวัตต์ (ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 869.8 เมกะวัตต์) และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน (solar farms with battery energy storage systems) จำนวน 12 โครงการ ซึ่งมีขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญารวม 700.2 เมกะวัตต์ (ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 1,668.0 เมกะวัตต์) โดยมีแผนเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในช่วงปี 2567 – 2572 แล้วนั้น
บริษัทฯ ขอแจ้งให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยทราบว่า เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2567 กลุ่มบริษัทย่อยที่บริษัทฯ ถือหุ้นทางอ้อมผ่านบริษัท กัลฟ์ รีนิวเอเบิล เอ็นเนอร์จี จำกัด (“GRE”) ในสัดส่วนร้อยละ 100 ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เรียบร้อยแล้วจำนวนรวมทั้งสิ้น 5 โครงการ (“โครงการฯ”) มีขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญารวม 295.0 เมกะวัตต์ (ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง531.8 เมกะวัตต์) โดยแบ่งเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน จำนวน 3 โครงการ ขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญารวม 160.0 เมกะวัตต์ (ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 212.9 เมกะวัตต์) และโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน จำนวน 2 โครงการ ขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญารวม 135.0 เมกะวัตต์ (ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 318.9 เมกะวัตต์) โดยรายละเอียดมีดังนี้
ส่วนกรณีที่ประเทศไทยจะเริ่มจัดเก็บภาษีบริษัทข้ามชาติขั้นต่ำ 15% ตามกติกา Global Minimum Tax (GMT) ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 บริษัทได้ประเมินว่ามาตรการดังกล่าวจะส่งผลกระทบในระดับเล็กน้อย โดยเมื่อเปรียบเทียบกับรายได้รวมที่คาดการณ์ในปี 2568 ผลกระทบนี้จะไม่เกิน 0.5% ของรายได้รวม และต่อกำไรไม่เกิน 2% ดังนั้นไม่ได้กระทบต่อผลประกอบการของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ