หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล. หยวนต้า คาด CKP กำไร 4Q24 เติบโตทั้ง QoQ และ YoY คาดกำไรปกติ 4Q24 เติบโตทั้ง QoQ และ YoY คาดกำไรปกติ 4Q24 ที่ 620 ล้านบาท เติบโต 6% QoQ แม้ออกจากช่วง High Season ของโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำในลาว (ปริมาณขายไฟฟ้าของโครงการน้ำงึม 2 ลดลงราว 9% QoQ) เพราะได้แรงหนุนจาก 1) ต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่คาดลดลงมาอยู่ที่ระดับ 313 บาท/MMBtu (-6% QoQ, -16% YoY) ช่วยหนุนอัตรากำไรขั้นต้นของโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ BIC และ
2) ปริมาณขายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำไซยะบุรี (XPCL) ที่เพิ่มขึ้นเป็น 2,266 GWh (+16% QoQ, +21% YoY) หลังโครงการดังกล่าวไม่มีการหยุดดำเนินงานเหมือนใน 3Q24 (ในช่วงดังกล่าว โครงการ XPCL มีการหยุดดำเนินงานราว 17 วัน เนื่องจากปริมาณน้ำมีมากเกินกว่าที่โครงการจะสามารถรองรับได้)
ขณะที่ YoY คาดกำไรปกติเติบโตราว 6% จากอัตรากำไรขั้นต้นของโรงไฟฟ้า BIC ที่สูงขึ้นหลังต้นทุนก๊าซธรรมชาติปรับตัวลงเร็วกว่าค่าไฟฟ้า และปริมาณน้ำที่ไหลผ่านโครงการ XPCL ที่สูงขึ้น 28% YoY (ผลจากปรากฏการณ์เอลนีโญที่คลี่คลาย) หากกำไรปกติ 4Q24 ออกมาใกล้เคียงคาด จะส่งผลให้กำไรปกติปี 2024 อยู่ที่ 1,112 ล้านบาท (-22% YoY)
1Q25 ขาดทุนลดลง YoY หลังปริมาณน้ำสูงขึ้น YoY
เบื้องต้นคาดผลขาดทุน 1Q25 ที่ระดับ 100-200 ล้านบาท พลิกเป็นขาดทุน QoQ ตามปัจจัยฤดูกาล หลังเข้าสู่ช่วง Low Season ของโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำในลาวและได้รับผลกระทบจากต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่คาดเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ราว 330-340 บาท/MMBtu ตามปัจจัยฤดูกาลและการปิดซ่อมบำรุงหลุมก๊าซธรรมชาติ G2 ในอ่าวไทยราว 40 วัน (ส่งผลให้มีสัดส่วนการใช้งาน LNG ที่มีราคาสูงมากขึ้น) อย่างไรก็ตาม คาดผลขาดทุน 1Q25 จะลดลง YoY เนื่องจากปริมาณน้ำในลาวมีแนวโน้มฟื้นตัว YoY จากฐานที่ต่ำในปีก่อนหลังปรากฏการณ์เอลนีโญคลี่คลาย (หนุนปริมาณขายไฟฟ้าของโครงการน้ำงึม 2 และโครงการไซยะบุรี)
หากมองไปช่วง 2Q-3Q25 คาดกำไรปกติของบริษัทฯ จะสามารถเติบโตได้ YoY จากฐานที่ต่ำในปีก่อน หลังปริมาณน้ำในลาวมีแนวโน้มฟื้นตัว และคาดไม่มีการหยุดดำเนินงานจากปริมาณน้ำที่สูงผิดปกติเหมือนในช่วง 3Q24
ปรับราคาเหมาะสมลงเป็น 3.50 บาท/หุ้น…คงคำแนะนำ “ซื้อ”
เราปรับ WACC ที่ใช้ประเมินมูลค่าขึ้นเป็น 9.3% เพื่อสะท้อน Bond Yield ระยะ 10 ปี ของสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับสูงนานกว่าที่เราประเมินไว้ก่อนหน้า และสภาวะตลาดที่มีความเสี่ยงมากขึ้น ส่งผลให้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2025 ลดลงเป็น 3.50 บาท/หุ้น มี Upside 32.6% โดยเรามองว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวลง 13% ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ได้สะท้อนปัจจัยลบจาก Bond Yield ระยะ 10 ปี ของสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องไปมากแล้ว
โดยราคาปัจจุบันซื้อขายบน PBV 2025 ที่เพียง 0.8 เท่า จึงมองว่าหุ้นเริ่มมี Downside จำกัดแล้ว และมีโอกาสฟื้นตัวได้จากผลประกอบการที่คาดกลับมาเติบโต YoY ได้ต่อเนื่องในปี 2025 จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” สำหรับการลงทุนระยะกลาง-ยาว