หุ้นวิชั่น – กลุ่มโรงไฟฟ้า กับการปรับลดค่าไฟฟ้าของไทยให้เหลือ 2.5 บาท/หน่วย ตามแนวคิดของ ทักษิณ ชินวัตร ถูกมองว่าเป็นเรื่องที่ ท้าทายและอาจไม่เกิดขึ้นในระยะสั้น จากมุมมองนักวิเคราะห์ ซึ่งชี้ให้เห็นถึงอุปสรรคด้านต้นทุนและโครงสร้างพลังงาน ขณะที่หุ้นโรงไฟฟ้ายังคงเผชิญแรงกดดันจากนโยบายรัฐ ส่งผลกระทบต่อการเติบโตและเงินปันผล นักลงทุนแนะ Wait & See รอความชัดเจนของอุตสาหกรรม
อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร เปิดวิสัยทัศน์ในเวที ร่วมงาน MFC’s 50th AnniversaryThe World’s Next Opportunities and Beyond เปิดโอกาสลงทุนแห่งอนาคตถึงประเด็นลดค่าไฟฟ้า หวังดึงต่างชาติลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์ในไทย ปัจจุบันต้นทุนพลังงานทั่วโลกอยู่ที่ 0.67 บาท แต่ไทยสูงถึง 3.7 บาท จึงตั้งเป้าลดเหลือ 2.7 บาท (8 เซนต์) ในเบื้องต้น ขณะที่นักลงทุนต่างชาติให้ความเห็นว่าหากค่าไฟไทยอยู่ที่ 2.02-2.35 บาท (6-7 เซนต์) จะสามารถแข่งขันได้ระดับโลก นอกจากนี้ ทักษิณยังระบุว่าอยากเห็นค่าไฟภายในประเทศที่ 2.5 บาท
ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ระบุ กรณีที่คุณทักษิณชงลดไฟเหลือ 2.5 บาท ดึง AI-ดาต้าเซ็นเตอร์ลงทุนไทย ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าเป็นเรื่องที่ยากและท้าทายเป็นอย่างมาก จากปัจจัยดังนี้
1. ต้นทุนปัจจุบันสูงเกินเป้า โดยค่าไฟเฉลี่ยปัจจุบันอยู่ที่ 4.15 บาท/หน่วย ด้าน ต้นทุนผลิตไฟฟ้า (จากก๊าซ) อยู่ที่ 2.4 บาท/หน่วย ส่วนค่าระบบและโครงสร้างพื้นฐาน 1.55 บาท/หน่วย รวมไปถึงค่า Ft อีก 0.20 บาท/หน่วยและ ต้นทุนผูกกับราคาก๊าซและ LNG ที่ผันผวน
2. ต้นทุนการผลิตส่วนใหญ่ยังผูกกับราคาก๊าซและ LNG ที่ผันผวน ซึ่งถ่านหิน: ต้นทุนต่ำ (2-3 บาท/หน่วย) แต่เผชิญข้อจำกัดทางสิ่งแวดล้อมและการเมือง ราคาก๊าซธรรมชาติ: ก๊าซราคาถูกจากอ่าวไทยมีจำกัด การนำมาใช้มากขึ้นอาจกระทบภาคอุตสาหกรรมอื่น ๆ สำหรับราคา LNG นั้นมีราคาผันผวนสูง ทำให้ควบคุมต้นทุนไฟฟ้ายาก
3. ข้อจำกัดของพลังงานแสงอาทิตย์ โดยต้นทุนผลิตต่ำสุดในประเทศ (2.1-2.2 บาท/หน่วย) แต่ผลิตไฟไม่ต่อเนื่อง และไม่ครอบคลุมช่วง Peak ช่วงกลางคืน อีกทั้งยังต้องใช้แบตเตอรี่ขนาดใหญ่และต้นทุนสูงมาก และต้องใช้เวลานานและพื้นที่มหาศาล
สำหรับมุมมองต่อกลุ่มโรงไฟฟ้า หุ้นโรงไฟฟ้าเคยปรับตัวลงแรงเมื่อมีเป้าหมายลดค่าไฟเหลือ 3.7 บาท/หน่วย
รอบนี้อาจไม่กระทบมาก เพราะราคาหุ้นบางส่วนสะท้อนความเสี่ยงไปแล้วข้อเสนอแนะต่อนโยบายค่าไฟถูกไม่ใช่คำตอบเดียวไทยควรเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล และบริการเทคโนโลยีขั้นสูงควบคู่ เพื่อดึงดูดดาต้าเซ็นเตอร์และ AI ระดับโลกในระยะยาว
นายมงคล พ่วงเภตรา รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าเป็นหนึ่งในกลุ่มที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากกำลังเผชิญกับปัจจัยลบหลายด้านที่ส่งผลกระทบต่อเนื่อง ซึ่งเดิมทีหุ้นโรงไฟฟ้ามักถูกมองว่าเป็น Defensive Stock หรือหุ้นที่มีเสถียรภาพสูง สามารถทนทานต่อภาวะตลาดที่ผันผวนได้ดี แต่ปัจจัยลบที่เกิดขึ้นทำให้ความเป็น Growth Stock ของหุ้นกลุ่มนี้ลดลงไป
ปัจจัยลบที่กระทบหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า
1. การเติบโตชะลอตัวและการลงทุนในต่างประเทศที่ไม่เป็นไปตามเป้า
นักลงทุนเคยมองว่าหุ้นกลุ่มนี้เป็นหุ้นที่เติบโตได้อย่างมั่นคง แต่ในช่วงที่ผ่านมา การขยายธุรกิจไปต่างประเทศของบางบริษัทอาจไม่ได้ประสบความสำเร็จอย่างที่คาด ทำให้ศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนลดลง
2. นโยบายลดค่าไฟของภาครัฐ กดดันอัตราค่าไฟฟ้าโรงไฟฟ้าใหม่
รัฐบาลมีนโยบายปรับลดค่าไฟเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและดึงดูดการลงทุนในประเทศ ส่งผลให้โรงไฟฟ้าที่เข้าประมูลโครงการพลังงานทดแทนได้รับอัตราค่าไฟฟ้าที่ต่ำลง กระทบต่อผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ของบริษัทที่เข้าร่วมประมูล
3. โรงไฟฟ้าที่พึ่งพารายได้จากธุรกิจไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวเผชิญความเสี่ยงสูง
บริษัทที่มีธุรกิจโรงไฟฟ้าเป็นรายได้หลัก เช่น RATCH และ EGCO มีความเสี่ยงจากการขาดการกระจายแหล่งรายได้ เมื่อเทียบกับบริษัทที่มีธุรกิจอื่นเข้ามาเสริม ทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลง
4. การลดลงของเงินปันผลจากโรงไฟฟ้าเก่า
โรงไฟฟ้าหลายแห่งมี สัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ที่ผ่านช่วงพีคของผลตอบแทนไปแล้ว ส่งผลให้การจ่ายเงินปันผลลดลง ซึ่งเป็นปัจจัยที่นักลงทุนต้องพิจารณาในการเลือกหุ้นกลุ่มนี้
แนวโน้มและกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นโรงไฟฟ้า
• การกระจายความเสี่ยง เป็นสิ่งจำเป็น บริษัทโรงไฟฟ้าจำเป็นต้องหา ธุรกิจเสริม ที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้น แต่การขยายไปสู่อุตสาหกรรมอื่นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องเลือกธุรกิจที่มี ROI สูง และมีความสอดคล้องกับศักยภาพของบริษัท
• นักลงทุนควรมองหาหุ้นที่มี เงินปันผลสูงกว่า ถ้าหุ้นตัวนั้นมีการเติบโตเมหือนกัน แต่ปัจจุบันการเติบโตของหุ้นโรงไฟฟ้าอยู่ภายใต้แรงกดดันจากปัจจัยลบหลายด้าน
• จากความไม่แน่นอนที่ยังคงอยู่ การลงทุนในหุ้นโรงไฟฟ้าช่วงนี้ยังอยู่ในโหมด Wait & See รอความชัดเจนของอุตสาหกรรมก่อนตัดสินใจลงทุน
โดยสรุป แม้ว่าหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้ายังคงเป็นหุ้นที่มีความมั่นคงในระยะยาว แต่ด้วยปัจจัยลบที่เข้ามากระทบ ทั้งจากนโยบายภาครัฐและแนวโน้มการเติบโตที่ชะลอตัว จึงต้องมีกลยุทธ์ในการลงทุนที่ดี ยังอยู่ในโหมด Wait & See รอความชัดเจน