หุ้นวิชั่น – บล.กรุงศรี ประเมินในงานสัมมนาครบรอบ 50 ปีของ MFC ประเด็นหลักๆ เน้นไปที่โอกาสของอาเซียนและไทยในการต่อยอดอุตสาหกรรมใหม่ๆ ในอนาคต ภาพใหญ่ทาง McKinsey ประเมิน 6 กลุ่มอุตสาหกรรมที่จะมีบทบาทสำคัญ ได้แก่
1.) E-Commerce
2.) Digital Advertising
3.) Video Games
4.) Modular Construction (เทคโนโลยีก่อสร้างที่ช่วยลดต้นทุน เพิ่มความเร็ว และจำกัดผลกระทบสิ่งแวดล้อม)
5.) Semi-conductor
6.) EVs ซึ่งคาดว่าจะมีสัดส่วนราว 1 ใน 3 ของ GDP โลก
โดยไทยดูมีโอกาสในส่วนการก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ส่วนเรื่องอื่นๆ มีความจำเป็นที่อาเซียนและไทยต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจ เพื่อให้สามารถแข่งขันในระดับโลกได้
ส่วนการปรับตัว อดีตนายกฯ ทักษิณฯ ได้แสดงวิสัยทัศน์เพิ่มเติม เน้น 2 ส่วน คือ โอกาสในการเป็นศูนย์กลางโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยี โดยชูจุดเด่นที่ ประเทศไทยจำเป็นที่จะต้องมีค่าไฟฟ้าที่ต่ำ เพื่อเป็นแรงดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ โดยขณะนี้ทั่วโลกมีต้นทุนพลังงานอยู่ที่ราว 2 เซนต์ (ดอลลาร์สหรัฐ) หรือ 0.67 บาท ในขณะที่ต้นทุนพลังงานของไทยอยู่ที่ 11 เซนต์ หรือราว 3.7 บาท ซึ่งในเบื้องต้นตั้งใจอยากให้ลดได้เหลือราว 8 เซนต์ หรือราว 2.7 บาท ซึ่งต่ำกว่าระดับที่นักลงทุนต่างชาติมองว่าเหมาะสมที่ 6-7 เซนต์
ทั้งนี้ เบื้องต้นตั้งเป้าหมายที่อยากเห็นค่าไฟฟ้าลดเหลือ 8 เซนต์ภายในปี 2569 นอกจากนี้ยังเน้นไปที่โอกาสในการนำ AI ต่อยอดในธุรกิจต่างๆ ที่เป็นจุดเด่นของไทย เช่น การแพทย์
อยากปรับไทยให้เป็นศูนย์กลางการเงิน “ศูนย์กลางทางคริปโต และบล็อกเชน” โดยคาดว่าใน 2-3 เดือนข้างหน้า จะเห็นการทำ Sandbox รับเงินคริปโตในจังหวัดภูเก็ต และการออก Stable Coin โดยมีพันธมิตร คือ รัฐบาลไทยเป็นหลักประกัน
- เชิงกลยุทธ์ เราประเมินโอกาสระยะกลาง-ยาวที่ไทยจะสามารถสร้าง S Curve ใหม่ๆ ยังมีอยู่ แต่อาจจะต้องใช้ระยะเวลาบ้าง ยานยนต์ต้องสร้างสมดุลการเปลี่ยนผ่านจากรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปสู่ EVs ซึ่งในช่วงรอยต่อนี้อาจจะขาดตัวเลือกลงทุนที่น่าสนใจ และแนะนำให้ติดตามพัฒนาการต่อไป ก่อนที่จะเป็นศูนย์กลาง Financial Assets ใหม่ๆ
ฝ่ายวิจัยให้น้ำหนักไปที่การเติมสภาพคล่องเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจระยะสั้น แต่การต่อยอดให้เป็นอุตสาหกรรมใหม่ระยะยาว ต้องรอติดตามแผนการผลักดันอีกครั้ง
- Data Center เป็นจุดที่ฝ่ายวิจัยประเมินว่ามีโอกาสที่ดี โดยเป็นที่น่าสังเกตว่าไทยสามารถดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติในส่วนนี้ได้มากพอสมควร แม้การเปลี่ยนแปลงค่าไฟฟ้าจะค่อยเป็นค่อยไป แต่ยังมีจุดเด่นอื่นๆ เช่น การมีพื้นที่ศูนย์กลางในอาเซียน และความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคม หากการปรับค่าไฟฟ้าสามารถทำได้ ก็จะมีการดึงเม็ดเงินต่างชาติอย่างต่อเนื่องอีกหลายปี
นอกจากนี้การส่งสัญญาณนำ AI ต่อยอดธุรกิจ คาดว่าอุตสาหกรรม/บริษัทที่ปรับตัวได้เร็วในเรื่องนี้ จะได้รับการสนับสนุนจากตลาดในทางบวกมากขึ้น โดยจากการศึกษาของฝ่ายวิจัย พบว่า อุตสาหกรรมที่น่าจะปรับตัวได้เร็ว คือ ธนาคาร, การเงิน, ค้าปลีก, การแพทย์ และภาคผลิต
ทั้งนี้ แนวทางดังกล่าว เราประเมินจิตวิทยาบวกในกลุ่มต่างๆ ได้แก่
1.) กลุ่มที่อยู่ในธีม Infra Tech ได้แก่ สื่อสาร ADVANC, TRUE, นิคม WHA, AMATA, รับเหมางาน Data Center + Digital Tech เช่น INSET ซึ่งในระยะสั้นน่าสนใจขึ้นหลังจากเริ่มปรากฏชื่อการจ้างผู้รับเหมางาน Data Center หลักๆ ในประเทศที่ประกาศลงทุนตั้งแต่ปี 2567 ซึ่งลำดับถัดไปน่าจะเป็นการเร่งจ้างผู้รับเหมาช่วง โดย INSET น่าจะอยู่ในกลุ่มดังกล่าว และ BBIK (ตั้งรับ) ส่วนโรงไฟฟ้าแม้ในระยะกลาง-ยาวจากโอกาสขยายกำลังผลิตรองรับ แต่ในระยะสั้นอาจต้องรอหุ้นตอบรับประเด็นลบจากแนวทางลดค่าไฟที่อาจกลับมากดดันหุ้นอีกครั้ง
2.) กลุ่มที่มีโอกาส AI Adoption ในอุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ ธนาคาร เช่น KBANK, KTB, การเงิน เช่น MTC, ค้าปลีก เช่น CPALL, CPAXT, การแพทย์ เช่น BDMS, BCH และภาคผลิต เช่น SCC, SCGP