หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด คาด SET Index เปิดตลาดปรับตัวลงตามตลาดหุ้นทั่วโลก และดัชนี Futures ของสหรัฐฯที่ปรับตัวลงแล้วกว่า 2% – 3% เช้านี้ แต่
Magnitude ของการปรับลงจะไม่รุนแรงเท่า (รายละเอียดด้านล่าง) ปัจจัยกดดันล่าสุดได้แก่ การประกาศเรียกเก็บภาษี Reciprocal tariff ของสหรัฐฯที่ออกมาสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ค่อนข้างมาก
และในส่วนของประเทศไทยนั้น ถือว่าอยู่ในระดับสูงกว่าหลายๆประเทศพอควร โดยถูกเรียกเก็บในอัตรา 36%
– ทั้งนี้ เรายังคงยืนยันมุมมองระมัดระวังต่อการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงระดับโลกจากความเสี่ยงที่เศรษฐกิจโลกมีโอกาสสูงที่จะเข้าสู่ภาวะชะลอตัว/หดตัว ในช่วงถัดไป และแนะนำนักลงทุนว่าไม่จำเป็นต้องเสาะหาสัญญาณเศรษฐกิจถดถอยแต่อย่างใด เนื่องจากในอดีต กว่าเราจะเห็นสัญญาณนี้ ตลาดหุ้นก็มักจะปรับตัวลงสู่จุดต่ำสุดไปแล้ว 3-6 เดือน ซึ่งจะทำให้เรา
Take action ช้าเกินไป
– มองการเก็บภาษี Reciprocal tariff ที่สูงกว่าคาดนี้ จะส่งผลให้ระดับราคาสินค้าเร่งตัวขึ้นในระยะสั้น ซึ่งจะมาพร้อมๆกับความเสี่ยง Downside ของเศรษฐกิจโลกที่เปิดกว้างมากขึ้น นั่นหมายความว่าความเสี่ยงของปัจจัย Stagflation ที่สูงขึ้นตามไปด้วย มองบริบทดังกล่าวจะทำให้ผู้กำหนดนโยบายการเงินของประเทศต่างๆ ทำงานได้ยาก ซึ่งก็จะทำให้ตัวช่วยของตลาดทุนลดน้อยลงไปอีก
– ทั้งนี้ หากอ้างอิงจากบทวิเคราะห์การลงทุนประจำไตรมาสที่ 2 ของเรายังคงแนะนำ Overweight สินทรัพย์ปลอดภัยต่อไป โดยเฉพาะพันธบัตรสหรัฐฯ แม้ Yield จะทำจุดต่ำสุดใหม่ต่อเนื่อง แต่ประเมินว่ามีโอกาสจะขยับลงได้อีก โดยเฉพาะรุ่นระยะกลางขึ้นไปหากนักลงทุนในตลาดเชื่อว่าเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจสหรัฐฯจะเดินหน้าไปสู่ภาวะถดถอยมากขึ้น ส่วนมุมมองของเราต่อตราสารทุนนั้น เรายังคงแนะนำ Underweight ตลาดหุ้นสหรัฐฯเป็นสำคัญ เนื่องจากยังคงมองเช่นเดิมว่าจะเป็นประเทศที่เสียประโยชน์โดยตรงในระยะสั้น จากทั้งต้นทุนสินค้าที่แพงขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งจะถูกส่งผ่านไปยังระดับราคาสินค้าที่ผู้บริโภคต้องจ่ายให้แพ
งขึ้นด้วยเช่นกัน
– Implication to Thailand: มองผลกระทบของการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯที่มีต่อไทยดังกล่าว หากดำเนินการทันทีในอัตรา 36% จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างแน่นอน ผ่านการส่งออกสินค้าซึ่งมีสัดส่วนอยู่ราว 60% ของ GDP แต่มองผลกระทบที่จะส่งต่อมายังตลาดหุ้นไทยจะอยู่ในระดับต่ำกว่า เนื่องจาก 1) สัดส่วนหุ้นส่งออกในตลาดมีน้ำหนักไม่มาก และ 2) Valuation ของหุ้นไทยที่อยู่ในระดับต่ำมาก 3) ความสัมพันธ์ของหุ้นไทยกับหุ้นโลกที่อยู่ต่ำมากในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
– Sectors: มองผลกระทบต่อ Sector ต่างๆในตลาดหุ้นไทยอยู่ 3 ด้าน ด้านแรกคือผลกระทบไปยังกลุ่มผู้เล่นส่งออกโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม อาหาร สินค้าเกษตร อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ เป็นต้น ส่วนอีกด้านหนึ่งคือกลุ่มที่ได้รับผลกระทบผ่านราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ลดลงในตลาดโลก จากความกังวลทางด้าน Demand ที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าที่รุนแรงขึ้น เช่น กลุ่ม พลังงานปิโตรเคมี เป็นต้น และอีกกลุ่มหนึ่งที่ต้องระวังหากเศรษฐกิจโลกชะลอมากขึ้นคือกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวจากกำลังซื้อของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่อาจลดลงในช่วงถัดไป
– Trading range: ทั้งนี้ เรายังคงกำหนดกรอบแนวรับของ SET Index ประจำไตรมาส 2 ไว้ที่เดิมก่อน ซึ่งมีอยู่ 2 แนวด้วยกัน ได้แก่บริเวณ 1150 จุด และ 1100 จุด สาเหตุหลักเนื่องจาก มองว่าระดับ Valuation
ของ SET อยู่ต่ำเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และที่ระดับ 1100 จุดก็เป็นระดับที่ซื้อขายด้วย Forward PBV 1.07x หรือเทียบเท่าจุดต่ำสุดที่เคยเกิดขึ้นระหว่างวันในช่วงวิกฤติ Covid-19 แล้ว
– THB: อีกปัจจัยหนึ่งที่ต้องระวังคือภาพของเงินบาท เนื่องจากการถูกเก็บภาษี Reciprocal นี้ เมื่อรวมกับดุลบริการที่แย่ลง และแนวโน้มเงินทุนไหลออกในช่วงสั้น จะทำให้ดุลการชำระเงินของไทยได้รับผลกระทบได้ ล่าสุด แม้ตะกร้า Dollar Index จะไม่ได้ปรับตัวสูงขึ้น แต่หากดูเงินบาทที่เทียบกับ USD จะพบว่ามีการอ่อนค่าทำสถิติใหม่ของรอบที่ 34.4 บาทต่อดอลลาร์ สะท้อนภาพการอ่อนแอของเงินบาทที่เกิดขึ้นเฉพาะตัวโดยในรอบวันที่ผ่านมา ถือเป็นสกุลเงินในเอเชียที่ปรับตัวอ่อนค่ามากที่สุดอีกด้วย คาดปัจจัยดังกล่าวมีโอกาสส่งผลกระทบมายังกระแส Fund flow ของนักลงทุนต่างชาติในระยะสั้น
– จากนี้ไป คงจะต้องติดตามดูว่าจะมีการโต้ตอบจากประเทศต่างๆด้วยมาตรการการค้าอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะในส่วนของไทย ว่าจะเดินเกมส์ไปในทิศทางไหน ระหว่างการเก็บภาษีโต้ตอบสหรัฐฯที่มากขึ้น หรือการยอมเปิดทางการเจรจาการค้าให้มีการนำเข้าสินค้าจากทางสหรัฐฯให้มากขึ้นแทน ซึ่งหากเป็นอย่างหลัง เชื่อว่าโอกาสที่ตลาดหุ้นไทยจะค่อยๆฟื้นตัวขึ้นมาก็มีความเป็นได้สูง