นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์ฯ อยู่ระหว่างหารือกับกระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุน เช่น สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) , สมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) เพื่อฟื้นความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับมา ทั้งเรื่องของมาตรการกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ที่จะมีการปรับปรุงเงื่อนไขใหม่ , มาตรการลดหย่อนภาษี เป็นต้น
“เรายังต้องคุยกันอีกมาก ขอให้นักลงทุนอย่างเพิ่งสิ้นหวัง หากมีความคืบหน้าในเรื่องของมาตรการต่างๆ ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะรีบอัพเดทให้ทราบอย่างแน่นอน“ นายอัสสเดช กล่าว
ทั้งนี้จากการปรับตัวลงของตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ ส่งผลให้เป็นหนึ่งในประเทศที่ให้ผลตอบแทนเกือบแย่ที่สุดในภูมิภาคเอเชีย หรือรองจากประเทศฟิลิปปินส์นั้น ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ มองว่า “ยังไม่ถึงกับวิกฤต” เนื่องจากมีปัจจัยที่คาดไม่ถึงหลายอย่าง โดยเฉพาะปัจจัยภาพนอกประเทศ ที่มีความไม่แน่นอนจากการดำเนินนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐ นายโดนัลด์ ทรัมป์
อย่างไรก็ดีแผนในระยะสั้น ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเร่งดำเนินการมากที่สุด คือ การสื่อสารให้มากขึ้น โดยเฉพาะการนำเสนอข้อมูลของบริษัทจดทะเบียนไทย ที่มีการเติบโตดี ทำอย่างไรให้นักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศเห็นศักยภาพได้บ้าง ผ่านการนำเสนอข้อมูล (โรด์โชว์) หรือ การใช้เทคโนโลยีเข้ามาสื่อสารข้อมูลของ Supetstar ที่มีอยู่ ให้นักลงทุนได้ทราบ
“การที่หุ้นปรับตัวลง ไม่ดีอยู่แล้ว ไม่มีใครชอบ แต่ในส่วนของตลาดเรามองที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก หากเราสร้างพื้นฐานของเราให้แข็งแกร่ง มีการเติบโตได้สูงกว่าปัจจุบัน ก็น่าจะเป็นประโยชน์ต่อตลาดทุนโดยรวม ซึ่งหากวิเคราะห์บริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) ก็ยังมีบริษัทจดทะเบียนไทยที่มีการเติบโตดีอยู่ค่อนข้างมาก“ นายอัสสเดช กล่าว
*ตลท.มองหุ้นไทยปรับตัวลง ดีต่อนลท.ระยะยาว ชูหุ้น SETHD ให้ผลตอบแทนสูงสุดในภูมิภาค
นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร และโครงการกลยุทธ์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มองตลาดหุ้นไทย รับรู้ปัจจัยลบที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างมาก 1 ครั้งในปีนี้ ไปแล้ว หากจะมีดาวไซด์เพิ่มเติม คือการที่เฟด ไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเลย หรือ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่ ณ ปัจจุบันยังไม่เห็นภาพตรงนี้ ซึ่งนโยบายของทรัมป์ มีหลายอย่างที่ทำให้เงินเฟ้อปรับตัวขึ้น เช่น สงครามการค้าฯ ซึ่งขึ้นอยู่กับการเจรจาระหว่างสหรัฐกับคู่กรณี และก็มีหลายอย่างที่ทำให้เงินเฟ้อปรับตัวลง โดยเฉพาะเรื่องของการผลิต Oil&Gas
พร้อมกันนี้มองตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ อยู่ในช่วงของการหาสมดุล ก็ต้องกลับมาดูปัจจัยพื้นฐานของประเทศ ซึ่งเศรษฐกิจไทยก็ยังมีแรงขับเคลื่อนจากการส่งออก และการท่องเที่ยว รวมถึงการจับจ่ายใช้สอยในประเทศ ขณะที่ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไทย บางบริษัทที่ผ่านมาก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี มีการจ่ายปันผลสม่ำเสมอ ก็ถือเป็นจังหวะที่ดีของนักลงทุนระยะยาว
มองหลุ่มหลบภัยของตลาดหุ้นไทยในช่วงผันผวน คือ หุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูง (High Dividend) เห็นได้จากดัชนี SETHD และ SET50FF (Free Float Adjusted) มีผลตอบแทนสูงกว่า SET Index โดยหลักทรัพย์ใน SET Index มีค่าเฉลี่ย Dividend Yield ย้อนหลังตั้งแต่ปี 2000 ถึงปัจจุบัน (เดือนม.ค.68) อยู่ที่ 3.14% ขณะเดียวกันยังมีผลตอบแทนสูงที่สุดเมื่อเทียบกับตลาดภูมิภาคด้วย