หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.หยวนต้า ระบุ WHA ประกาศแผนการออกและเสนอขายหุ้น IPO ของธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม (WHAID – WHA Industrial Development) ซึ่งจะมีการจำหน่ายหุ้น IPO ไม่เกิน 970.5 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 22.73% (แบ่งเป็นหุ้นออกใหม่ 9.09% และหุ้นเดิมจาก WHAID และ WHA Venture Holding (WHAVH) 13.64%) และหลัง IPO เสร็จสิ้นทาง WHA จะถือสัดส่วน 75.95% (เดิมถือ 98.54%)
► เหตุผลการ IPO เพื่อให้สามารถขยายธุรกิจตามแผนที่วางไว้, ชำระหนี้ และเพิ่มความแข็งแกร่งทางการเงิน รวมถึงสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้คล่องตัวขึ้น
► กำหนดการเบื้องต้น : ยื่น Filing ภายในเดือนเม.ย. 25 และคาดดำเนินการเสร็จสิ้นเข้า IPO 4Q25 เป็นต้นไป
► แผนการปรับโครงสร้างการถือหุ้น WHAUP ภายใน 3Q25 : เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการ Spin-off ทาง WHA จะซื้อหุ้น WHAUP จำนวน 382.5 ล้านหุ้น หรือสัดส่วน 10% จาก 1) WHAID 8.86% และ 2) WHA Industrial Development International (WHA IDISG) 1.14% ส่งผลให้หลังปรับโครงสร้าง WHAID จะถือหุ้น WHAUP 61.59% (จากเดิม 71.59%), WHA IDISG จะถือ 0% (จากเดิม 1.14%) และหลังการทำ IPO เสร็จสิ้น WHA จะถือหุ้น WHAUP 56.78% (WHA ถือโดยตรง 10% และถือผ่าน WHAID 46.78%)
Our Take
► นักวิเคราะห์มองเป็นกลางต่อประเด็นดังกล่าว แม้การปรับโครงสร้างและ Spin-off จะช่วยสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของธุรกิจนิคมฯ เสริมฐานะทางการเงินของ WHA ให้แข็งแกร่งขึ้น และคาดจะมีการจ่ายปันผลพิเศษหลังการ IPO เสร็จสิ้น อย่างไรก็ดี อาจทำให้คนหันไปเลือกลงทุนหุ้นที่ดำเนินธุรกิจโดยตรง อย่าง WHAID (หน่วยธุรกิจหลักที่หนุนการเติบโตของรายได้และกำไร) นอกจากนี้ มีประเด็นที่ต้องติดตาม ดังนี้
► ประเด็น 1 : การเสนอขายหุ้น IPO ของ WHAID จะส่งผลให้การรับรู้กำไรจากธุรกิจนิคมฯ ที่ปัจจุบันเป็นหน่วยธุรกิจหลัก (สัดส่วนรายได้และกำไรมากกว่า 50% ของยอดรวม) ลดลงเป็น 75.95% (จากเดิม 98.54%) และกดดันแนวโน้มการเติบโตของกำไรสุทธิปี 2026 เป็นต้นไปราว 10%+- อย่างไรก็ดี กำไรอาจจะน้อยกว่าสมมติฐาน จากการนำเงินที่ได้จาก IPO ไปชำระคืนหนี้ ทำให้ดอกเบี้ยจ่ายลดลง
► ประเด็น 2 : การปรับโครงสร้างการถือหุ้น WHAUP จะส่งผลให้ Capital gain ที่เกิดขึ้นจะบันทึกเข้ากำไรสะสมในส่วนของผู้ถือหุ้น ขณะที่ค่าใช้จ่ายทางภาษีคาดจะบันทึกเข้ามาในงบกำไรขาดทุนราว 200 ลบ. แต่นักวิเคราะห์มองว่าเป็นเพียงรายการพิเศษที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ที่เป็นแรงกดดันการเติบโตของกำไรสุทธิปี 2025 อย่างไรก็ดี คงประมาณการกำไรปกติปี 2025 ที่ 4,908 ลบ. เติบโต 14% YoY หนุนจาก 1) ยอด Backlog แข็งแกร่ง 1,535 ไร่ (+48% YoY) 2) การรักษาระดับ GPM ของธุรกิจนิคมฯ จากการปรับราคาขายที่ดินขึ้น และ 3) แผนขายสินทรัพย์เข้ากอง REIT มูลค่า 1.5 พันลบ. (เพิ่มขึ้นจาก 1.1 พันลบ. ในปี 2024) นอกจากนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าธุรกิจ Green Logistics (Mobilix) รับรู้รายได้เต็มปี 2025 เติบโต 20% YoY (2H24 รับรู้รายได้ 128 ลบ.) เพิ่มจำนวนรถจาก 330 คัน เป็น 1,700 คันจากการล่าช้าเพราะปัญหา Supplier ในปี 2024
► วานนี้ราคาหุ้นปรับตัวลง 20% จากผลประกอบการ 4Q24 ออกมาต่ำกว่าคาด และความกังวลต่อการเตรียม Spin-off ธุรกิจนิคมฯ (WHAID) อย่างไรก็ดี มองราคาหุ้นตอบรับปัจจัยลบไปแล้ว และคงมุมมองภาพทางพื้นฐาน คาดผลประกอบการปี 2025 เติบโต 14% ทำ New High คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 5.65 บาท