หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) คาดแนวโน้มตลาดวันนี้ เราคาดว่า SET Index จะปรับตัวลงแรงพอสมควร ทดสอบแนวรับ 1,155-1,157 จุด และมีความเสี่ยงที่จะต่ำกว่านั้น หลังจากสหรัฐฯ ประกาศอัตราภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ต่อไทยสูงกว่าที่คาดไว้ที่ 36% ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทยรุนแรงกว่าที่ประเมิน และอาจนำไปสู่การปรับลด GDP ในอนาคต โดยมีโอกาสเห็นการเติบโตของเศรษฐกิจไทยปีนี้ต่ำกว่า 2% หลังจากนี้ต้องจับตาดูว่ารัฐบาลจะเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อขอลดอัตราภาษีลงได้มากน้อยเพียงใด โดยคาดว่าไทยอาจต้องลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ และเพิ่มปริมาณนำเข้า รวมถึงพิจารณาผลประโยชน์อื่น ๆ นอกเหนือจากด้านการค้า
กระแสเงินทุน (Fund Flow) มีการไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยงชัดเจน และไหลเข้าสู่พันธบัตร โดย Bond Yield ของสหรัฐฯ ปรับตัวลงแรง Bond Yield 2 ปี อยู่ที่ 3.8% และ Bond Yield 10 ปี อยู่ที่ 4.06% (ต่ำสุดในรอบเกือบ 6 เดือน) ขณะที่ Bond Yield ของไทย อยู่ที่ 1.7% และ 1.94% ซึ่งสะท้อนแนวโน้มว่า กนง. มีโอกาสลดดอกเบี้ยอีก 25-50 bps ในปีนี้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
ในด้านกลยุทธ์การลงทุน เราแนะนำให้หลีกเลี่ยงกลุ่มส่งออกระยะสั้น เช่น อิเล็กทรอนิกส์ อาหารสัตว์เลี้ยง อาหารแปรรูปเพื่อการส่งออก และยาง ในขณะที่กลุ่มที่คาดว่าจะปรับตัวแข็งแกร่งกว่าคือกลุ่ม Defensive และ Consumer Staple เช่น สื่อสาร การแพทย์ โรงไฟฟ้า IPP และค้าปลีก โดยกลยุทธ์หลักคือ Selective Buy เน้นหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว กำไร 1Q25 – 2025 แข็งแกร่ง และ Valuation ต่ำกว่าช่วงก่อนโควิดอย่างมีนัยสำคัญ หุ้นเด่นเดือนเมษายน ได้แก่ BA, BBL, CPF, HMPRO, OSP ส่วนหุ้นในพอร์ตของ FSSIA ประกอบด้วย BA, BBL, BTG, CPALL, MTC, NSL, PR9, SEAFCO, SHR
สำหรับหุ้นเด่นวันนี้ เราแนะนำ “ซื้อ” GULF ราคาเป้าหมาย 57.70 บาท โดยมีปัจจัยหนุนจากการควบรวมกับ INTUCH ที่ทำให้สถานะทางการเงินแข็งแกร่งขึ้น เรทติ้งจาก TRIS ปรับเพิ่ม ลดต้นทุนดอกเบี้ยในอนาคต พร้อมลงทุนในโรงไฟฟ้าใหม่ พลังงานสะอาด และ Data Center 200MW ใน 2-3 ปีข้างหน้า รวมถึงรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก ADVANC เพิ่มขึ้นจากเดิม 19.0% เป็น 40.4% นอกจากนี้ GULF มี Market Cap สูงเป็นอันดับ 3 ของตลาดฯ ซึ่งเป็นเป้าหมายการลงทุนของนักลงทุนสถาบันและต่างชาติ ทั้งนี้ เราคาดว่ากำไรปี 2025 จะเติบโต +20% y-y จากกำลังผลิตไฟฟ้าใหม่ 1,477MW การเปิดดำเนินการของ Data Center และส่วนแบ่งกำไรเพิ่มขึ้นจาก PTT NGD และ ADVANC
ด้านกระแสเงินทุนต่างชาติ วานนี้ไหลออกจากเอเชียสุทธิ US$645 ล้าน โดยกระจุกตัวที่เกาหลีใต้ US$678 ล้าน แต่มีเม็ดเงินไหลเข้าไต้หวันบางๆ US$19 ล้าน ในขณะที่ตลาดอาเซียนพบว่ามีเม็ดเงินไหลเข้าไทย US$46 ล้าน แต่ไหลออกจากเวียดนาม US$28 ล้าน โดยแนวโน้มของ Fund Flow คาดว่าจะไหลออกรุนแรงขึ้นหลังจากอัตราภาษีตอบโต้ของ Trump ออกมาสูงกว่าที่ตลาดคาด
ประเด็นสำคัญวันนี้ ได้แก่ การที่สหรัฐฯ เก็บภาษีสินค้าจากไทยที่ 36% สูงกว่าที่ตลาดประเมินไว้ที่ 10% ซึ่งเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในเอเชีย อัตราภาษีของไทยถือว่าค่อนข้างสูง โดยมีเพียงจีน เวียดนาม กัมพูชา ลาว และพม่า ที่ถูกเก็บภาษีสูงกว่า ในขณะที่ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน อินโดนีเซีย และอินเดีย ถูกเก็บในอัตรา 24-32% ซึ่งถือเป็นปัจจัยลบต่อภาคส่งออกไทย โดยเฉพาะอิเล็กทรอนิกส์ อาหารสัตว์เลี้ยง ยาง และเครื่องดื่มส่งออก
อย่างไรก็ตาม มีปัจจัยบวกสำหรับ AAV ซึ่งราคาหุ้นปรับตัวลงแรง -23% ใน 1 เดือน และ -45% ใน 5 เดือนที่ผ่านมา แม้ว่า Load Factor 1Q25 จะชะลอลงเล็กน้อย (Domestic 90% เทียบกับ 91% ใน 4Q24 และ International 83-84% เทียบกับ 85% ใน 4Q24) แต่ยังถือว่าอยู่ในระดับที่ทำกำไรได้ดี ปัจจุบันหุ้นมี Valuation ถูกที่ 8-9x P/E ซึ่งถือเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนระยะยาว ราคาหุ้นปัจจุบันต่ำกว่าช่วงโควิด โดยในปี 2020 เฉลี่ยอยู่ที่ 1.7 บาท และปี 2021 เฉลี่ย 2.5 บาท
สุดท้ายในด้านการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวสมุยยังคงเติบโตดี โดยตัวเลขนักท่องเที่ยวเข้าสมุยเดือนมีนาคม โต +9% y-y เทียบกับตัวเลขนักท่องเที่ยวเข้าไทยทั้งหมดที่ -9% y-y นอกจากนี้ Passenger สมุยยังทำ New High รายเดือนตั้งแต่เดือนมกราคมถึงมีนาคม 2025 ส่งผลให้ 1Q25 โต +11% หุ้นที่ได้รับอานิสงส์จากการเติบโตนี้ ได้แก่ BA (68%), AWC (12%), SHR (6%), และ CENTEL (5%) ข้อมูลนี้ยังสอดคล้องกับ CENTEL ที่ระบุว่า Phuket, Samui, Krabi ยังคงมี RevPAR ที่แข็งแกร่ง แม้นักท่องเที่ยวจีนจะลดลงในช่วงกุมภาพันธ์ถึงมีนาคมก็ตาม ทั้งนี้ Advance Booking ของเส้นทางสมุยช่วงมีนาคมถึงกันยายน 2025 ยังโต +14% y-y และ BA แจ้งว่ายอดจองยังไม่ลดลงแม้จะมีเหตุการณ์แผ่นดินไหวเกิดขึ้น