หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) คาดแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่า SET Index จะแกว่งตัวในกรอบ Sideways ที่ระดับ 1,180–1,195 จุด โดยภาพรวมทางเทคนิคยังมีแนวโน้มฟื้นตัวในระยะสั้น ตราบใดที่ไม่หลุดแนวรับสำคัญบริเวณ 1,180 จุด ด้านปัจจัยต่างประเทศแม้จะยังไม่มีปัจจัยใหม่ที่โดดเด่นเข้ามาหนุน แต่ตลาดมี Sentiment บวกอ่อน ๆ หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ แสดงความเห็นว่า มาตรการจัดเก็บภาษีสินค้ารอบใหม่ในวันที่ 2 เมษายนนี้จะมีลักษณะเฉพาะเจาะจง และอาจไม่รุนแรงอย่างที่ตลาดกังวล ขณะที่ในประเทศ นักลงทุนจับตาการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีระหว่างวันจันทร์ถึงอังคาร ก่อนลงมติในช่วงกลางสัปดาห์ และรอลุ้นมติจากการประชุมคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ ทั้งในเรื่องการลดค่าจดจำนองและค่าธรรมเนียมการโอน หลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ผ่อนคลายเกณฑ์ LTV ชั่วคราวไปแล้วในสัปดาห์ก่อน นอกจากนี้ ยังมีการคาดการณ์ว่าอาจมีมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในช่วง Low Season เช่น “เที่ยวคนละครึ่ง” ซึ่งจะช่วยประคอง Sentiment และหนุนเศรษฐกิจในภาพรวมได้ในระดับหนึ่ง
มุมมองเชิง Valuation ของตลาดยังคงน่าสนใจ หลังจาก SET Index ปรับตัวลงแรงกว่า 20% จากจุดสูงสุดเมื่อเดือนตุลาคม 2566 โดยปัจจุบันเทรดที่ระดับ PER และ PBV เพียง 12.5 เท่า และ 1.14 เท่าตามลำดับ ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงก่อนโควิดอย่างมีนัยสำคัญ จึงยังมองว่าเป็นจังหวะในการทยอยสะสมหุ้น โดยแนะนำให้นักลงทุนเน้นกลยุทธ์ Selective Buy ในหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว และมีแนวโน้มกำไร 1Q25-2025 ที่แข็งแกร่ง รวมถึง Valuation อยู่ในระดับต่ำ หุ้นเด่นประจำเดือนมีนาคม ได้แก่ BA, BTG, CPALL, MTC และ PR9 ส่วนพอร์ตแนะนำของ FSSIA ประกอบด้วย BA, BBL, BTG, CPALL, MTC, NSL, PR9, SEAFCO และ SHR
สำหรับหุ้นเด่นวันนี้คือ ITC แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 23 บาท แนวโน้มรายได้ไตรมาส 1/68 คาดเติบโตทั้งแบบไตรมาสต่อไตรมาส (q-q) และเทียบกับปีก่อน (y-y) โดยตัวเลขส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงเดือนมีนาคมฟื้นตัวทำจุดสูงสุดในรอบ 5 เดือน แม้จะเริ่มมีผลกระทบจากภาษี Global Minimum Tax แต่กำไรยังคาดว่าจะทรงตัวทั้ง q-q และ y-y ได้ กำไรปี 2025 คาดอยู่ที่ 3.57 พันล้านบาท ซึ่งถือว่าแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับราคาหุ้นที่ปรับตัวลงในช่วงที่ผ่านมา ปัจจุบันเทรดที่ PER เพียง 13.7 เท่า และให้ Dividend Yield เกือบ 6% ต่อปี แนวรับอยู่ที่ 16.00–15.80 และ 15.50 บาท ส่วนแนวต้านที่ 16.50–16.80 และ 17.30–17.50 บาท
ด้านกระแสเงินทุนต่างชาติเมื่อวันศุกร์ พบว่าโดยรวมยังผสมผสาน โดยไหลออกสุทธิราว 60 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เม็ดเงินยังคงไหลออกจากไต้หวัน (528 ล้านดอลลาร์) และอินโดนีเซีย (142 ล้านดอลลาร์) ขณะที่ไหลเข้าเกาหลีใต้ (615 ล้านดอลลาร์) และไหลเข้าไทยรวมถึงฟิลิปปินส์เล็กน้อยราว 14–18 ล้านดอลลาร์ ซึ่งสะท้อนว่าแนวโน้ม Fund Flow ยังไม่มีทิศทางชัดเจน โดยตลาดยังคงรอติดตามปัจจัยสำคัญ ได้แก่ ดัชนีเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรการภาษีของสหรัฐฯ รอบใหม่ในวันที่ 2 เมษายนนี้
สำหรับประเด็นบวกในประเทศ ได้แก่ การส่งออกเดือนกุมภาพันธ์ที่ออกมาดีกว่าคาด โดยขยายตัว 14% y-y เทียบกับที่ตลาดคาดไว้ที่ 8% ขณะที่การนำเข้าโตเพียง 4% ต่ำกว่าคาด 5.4% ส่งผลให้ไทยเกินดุลการค้ากว่า 2 พันล้านดอลลาร์ โดยสินค้าส่งออกเด่น ได้แก่ ยางพารา น้ำตาล ไก่สด อาหารสัตว์เลี้ยง ส่วนสินค้าที่หดตัวได้แก่ ข้าว มันสำปะหลัง และเครื่องดื่มชูกำลัง
ในฝั่งของบริษัทจดทะเบียน มีข่าวบวกจาก CPN ที่ตั้งเป้ารายได้ปี 2025 เติบโต 5–7% โดยได้รับแรงหนุนจากธุรกิจโรงแรมและศูนย์การค้า พร้อมตั้งเป้า ROE ระยะ 5 ปีข้างหน้าไว้ที่ 15% สูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 8–9% ทั้งนี้ยังคงประมาณการกำไรปี 2025–2027 เติบโตเฉลี่ย 5–6% ต่อปี พร้อมคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 83 บาท ส่วน ZEN ตั้งเป้ารายได้โต 7% y-y โดยได้รับแรงหนุนจาก SSSG และธุรกิจผลิต–เทรดดิ้ง แม้จะมีการปิดสาขาที่ไม่ทำกำไร และชะลอการเปิดสาขาใหม่ ทำให้แนวโน้ม SSSG 1Q25 อาจยังติดลบ 7% อย่างไรก็ดี ธุรกิจด้านการผลิตและเทรดดิ้งยังเติบโตได้ดี จึงคาดว่ากำไร 1Q25 จะทรงตัว y-y ขณะที่ปรับลดประมาณการกำไรปี 2025–2027 ลง 4–5% ให้ราคาเป้าหมายใหม่ที่ 6.5 บาท พร้อมปรับคำแนะนำขึ้นเป็น “ถือ”