หุ้นวิชั่น – XO ขอรักษาอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ที่ระดับ 45% ชี้อาหารไทยฮอตติดเทรนด์โลก ด้านบอสใหญ่ “จิตติพร จันทรัช” จับตาอเมริกาเก็บภาษี 25% ลั่นไม่กระทบ! ตลาดหลักอยู่ที่แคนาดา พร้อมปรับกลยุทธ์รับมือสถานการณ์ ปักธงยอดขายปี 68 ไม่น้อยกว่าปี 67 ที่ 2,479 ล้านบาท
นายจิตติพร จันทรัช กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็กโซติค ฟู้ด จำกัด (มหาชน) หรือ XO เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ไว้ที่ระดับ 45% พร้อมคาดการณ์ว่าผลประกอบการปี 2568 จะไม่ต่ำกว่าปีที่ผ่านมา โดยมองว่าอาหารไทยและดีมานด์การรับประทานซอสปรุงรสยังคงเป็นกระแสระดับโลก เนื่องจากได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐและการขยายตัวในตลาดส่งออก ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์เด่นของปีนี้ยังคงเป็นซอสพริกศรีราชา
ด้านตลาดต่างประเทศต้องจับตา โดยเฉพาะตลาดสหรัฐอเมริกามียอดขายลดลงในช่วงปลายปีที่ผ่านมา และในปีนี้ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากสหรัฐฯ ได้มีการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะแคนาดาและเม็กซิโก ที่ถูกเรียกเก็บภาษีสูงถึง 25% อย่างไรก็ตาม มองว่าสถานการณ์ดังกล่าวไม่ได้ส่งผลกระทบมากนัก เนื่องจากตลาดหลักอย่างแคนาดายังคงมีการนำเข้าสินค้าอย่างต่อเนื่อง แต่ยังคงต้องเฝ้าระวัง ทั้งนี้ ยืนยันว่าไม่ได้ละทิ้งตลาดอเมริกา แต่ต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูและปรับกลยุทธ์เพื่อรองรับสถานการณ์
สำหรับเป้าหมายรายได้ บริษัทคาดว่าจะเติบโตไม่น้อยกว่าปีที่แล้ว โดยรายได้ในไตรมาสแรกของปีนี้ คาดการณ์ว่าจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับไตรมาสแรกของปี 2567 แม้ว่าตลาดอเมริกาจะชะลอตัว แต่ยอดขายในตลาดอื่น ๆ ยังคงแข็งแกร่ง ซึ่งต้องติดตามผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 เพื่อประเมินแนวโน้มรายได้โดยรวมอีกครั้ง
ในส่วนของกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ บริษัทวางแผนลดจำนวนกลุ่มผลิตภัณฑ์จาก 4 กลุ่ม ให้เหลือ 3 กลุ่ม โดยจะยุติกลุ่ม Ready Meal แต่จะเพิ่มสินค้าในหมวดอื่นแทน ขณะเดียวกัน มีแผนสร้างโรงงานแห่งใหม่ภายในปีนี้
อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ ยังตั้งเป้าหมายบรรลุแผน Net Zero ภายในปี 2593 โดยขณะนี้ได้เริ่มดำเนินการแล้ว
สำหรับตลาดยุโรป ความต้องการยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภคที่นิยมรับประทานอาหารรสเผ็ด ส่วนตลาดนิวซีแลนด์ยังคงมีแนวโน้มเติบโตดี นอกจากนี้ บริษัทได้เดินหน้ากลยุทธ์การตลาดผ่านสื่อบันเทิง โดยเฉพาะการโปรโมตผลิตภัณฑ์ผ่านซีรีย์เกาหลี ซึ่งเป็นที่นิยมในระดับสากล
นายจิตติพร ชี้แจงกรณีการขายหุ้นของตนเองว่า เป็นไปตามความจำเป็นส่วนตัว เนื่องจากต้องการใช้เงินซื้อที่ดิน ไม่ได้ถูกบังคับให้ขาย (Force Sell) แต่อย่างใด
สำหรับผลประกอบการปี 2567 มียอดขายครอบคลุมกว่า 70 ประเทศทั่วโลก โดยมีรายได้รวม 2,479 ล้านบาท กำไรสุทธิ 790.76 ล้านบาท และมียอดจำหน่ายสินค้ารวม 25,511 ตัน สะท้อนถึงการเติบโตของบริษัทในระดับสากล