หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงานว่า CHOW กวาดรายได้ปี 67 เข้ากระเป๋า 3,522.09 ล้านบาท แบ่งเป็นธุรกิจค้าเหล็ก 3,150.36 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 90% และอีก 10% มาจากธุรกิจพลังงาน เล็งเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ (COD) โครงการในไตรมาส 1/68 กำลังผลิต 39 เมกะวัตต์ แถมมีสัญญารอก่อสร้างไม่น้อยกว่า 100 เมกะวัตต์
นายอนาวิล จิรธรรมศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ CHOW แจ้งผลประกอบการต่อตลาดหลักทรัพย์ ว่า ปี 2567 กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้รวมทั้งสิ้น (Top line) 3,522.09 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายได้จากธุรกิจเหล็กรวม 3,150.36 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 90 ของรายได้รวม และที่เหลืออีกร้อยละ 10 เป็นรายได้ที่เกิดจากธุรกิจ พลังงานทางเลือก รายได้จากธุรกิจเหล็ก – การขาย ประกอบไปด้วยรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับเหล็ก ซึ่งเติบโตประมาณร้อยละ 21 หรือมียอดขายเหล็กเพิ่มขึ้นประมาณ 400 ล้านบาท สืบเนื่องจากการขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มลูกค้าเหล็กอื่น ๆ ที่มากยิ่งขึ้น ซึ่งเกิดจากการที่บริษัทสามารถผลิตเหล็กได้ หลากหลายมากขึ้น และได้รับมาตรฐานอุตสาหกรรมได้เพิ่มขึ้น สำหรับขนาดที่มีความหลากหลายตามความต้องการในท้องตลาด
รายได้จากธุรกิจพลังงานทางเลือก ซึ่งรวมถึงการขายไฟฟ้าและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับระบบผลิตกระแสไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ โดยในปีปัจจุบัน กลุ่มบริษัทฯ รับรู้รายได้จากการขายไฟฟ้ารวม 21 ล้านบาท (COD โครงการโรงไฟฟ้าที่เป็น utilities scale ในประเทศญี่ปุ่น 1 โครงการ) และที่เหลือเป็นรายได้จากการขายอุปกรณ์ เมื่อเทียบกับปีก่อน รายได้จากการขายลดลงรวมประมาณ 201 ล้านบาท ส่วนใหญ่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการรับรู้รายได้จากการขายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทย (C&I scale) จำนวน 31.3 เมกะวัตต์ ตั้งแต่เดือน กันยายน 2566 โดยเป็นการร่วมจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับกองทุน BlackRock ซึ่งจะรับรู้รายได้ในรูปแบบของส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงานในงบกำไรขาดทุน
รายได้จากธุรกิจพลังงานทางเลือก – การให้บริการ EPC นั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญจากปีก่อน กำไรจากการบริหารธุรกิจเชิงกลยุทธ์ ปี 2566 กลุ่มบริษัทรับรู้รายได้สุทธิจากการร่วมจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับกองทุน BlackRock ในงวดปัจจุบันเป็นจำนวน 426.51 ล้านบาท เพื่อดำเนินธุรกิจ Solar Rooftop ในประเทศไทย ซึ่งเป็นไปตามแผนกลยุทธ์ของกลุ่มบริษัท
ขณะที่สัดส่วนรายได้ทั้งในปี 2567 และ 2566 นั้น รายได้ส่วนใหญ่เกิดจากการดำเนินธุรกิจเหล็กที่ร้อยละ 89 และร้อยละ 74 ตามลำดับ สำหรับรายได้ในส่วนของธุรกิจพลังงานทางเลือกในปี 2567 นั้นปรับลดลงจากร้อยละ 26 มาอยู่ที่เฉลี่ยร้อยละ 11 ซึ่งส่วนใหญ่ในปี 2566 มีรายได้จากการร่วมจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับกองทุน BlackRock อยู่ที่ร้อยละ 11 (ในปีปัจจุบันไม่มี) ส่วนที่เหลือแบ่งเป็นรายได้จากส่วนงานให้บริการ EPC เฉลี่ยร้อยละ 9 และร้อยละ 8 และส่วนงานขายไฟฟ้าและอุปกรณ์ปรับลดลงจากร้อยละ 7 ในปี 2566 เป็นร้อยละ 2 ในปีปัจจุบัน
ในปี 2567 กลุ่มบริษัท เชาว์สตีล อินดัสทรี จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย มีผลกำไรจากการดำเนินงานอย่าง ต่อเนื่อง ทั้งในส่วนของธุรกิจเหล็กและธุรกิจพลังงานทางเลือก โดยการเติบโตที่สำคัญของกลุ่มบริษัทฯ มีดังต่อไปนี้
ธุรกิจเหล็ก
ในภาพรวมของตลาดเหล็กในประเทศไทยนั้น ล้วนได้รับผลกระทบจากราคาเหล็กในตลาดที่ปรับตัวลดลง เนื่องจากปริมาณการนำเข้าของเหล็กจากประเทศจีนที่มีราคาต่ำ อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังสามารถเติบโตได้
อย่างต่อเนื่องจากปี 2566 กล่าวคือ บริษัทฯ มีรายได้จากการขายเหล็กขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 20 (รายได้เพิ่มขึ้น 400 ล้านบาท) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการขยายฐานลูกค้ากลุ่มเหล็กในประเทศไทย ทั้งนี้ เนื่องจากบริษัทฯ มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย มีคุณภาพตามมาตรฐานอุตสาหกรรม และราคาที่แข่งขันได้ จึงส่งผลให้สามารถเพิ่มยอดขายได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลดีต่อกลุ่มบริษัทฯ และที่สำคัญผลิตภัณฑ์ของบริษัทยังได้รับรองฉลาก Carbon Footprint จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก ซึ่งทำให้เพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดอีกทางหนึ่ง
ธุรกิจพลังงานทางเลือก
จากที่กลุ่มบริษัทฯ ได้เข้าร่วมทุนกับกองทุน BlackRock ในปี 2566 เพื่อเสริมสร้างความ แข็งแกร่งในส่วนของทุนเพื่อรองรับการเจริญเติบโตในธุรกิจพลังงานทางเลือกในระยะยาว และเพิ่มความสามารถในการ
เข้าถึงแหล่งเงินทุนที่มีต้นทุนต่ำ โดยในปีปัจจุบัน กลุ่มบริษัทฯ มีโครงการโรงไฟฟ้าที่ COD ตามสัญญา PPA แล้วทั้งในประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่น รวม 70.2 เมกะวัตต์ และมีโครงการที่เตรียมจะ COD อีกในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 อีก 39 เมกะวัตต์
นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและรอเข้าทำสัญญาอีกไม่น้อยกว่า 100 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นการเจริญเติบโตของบริษัทที่สร้างประโยชน์ต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อลดการใช้พลังงานไฟฟ้าที่มีต้นตอมาจากพลังงานที่ก่อให้เกิดมลภาวะต่อสังคม