ปรับแต่งการตั้งค่าการให้ความยินยอม

เราใช้คุกกี้เพื่อช่วยให้คุณสามารถไปยังส่วนต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและทำหน้าที่บางอย่าง คุณจะพบข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับคุกกี้ทั้งหมดภายใต้หมวดหมู่ความยินยอมแต่ละประเภทด้านล่าง คุกกี้ที่ได้รับการจัดหมวดหมู่ว่า "จำเป็น" จะถูกจัดเก็บไว้ในเบราว์เซอร์ของคุณ เนื่องจากมีความจำเป็นต่อการทำงานของฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์... 

ใช้งานอยู่เสมอ

คุกกี้ที่จำเป็นมีความสำคัญต่อฟังก์ชันพื้นฐานของเว็บไซต์ และเว็บไซต์จะไม่สามารถทำงานได้ตามวัตถุประสงค์หากไม่มีคุกกี้เหล่านี้

คุกกี้เหล่านี้ไม่จัดเก็บข้อมูลที่สามารถระบุตัวบุคคลได้

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้แบบฟังก์ชันนอลช่วยทำหน้าที่บางอย่าง เช่น แบ่งปันเนื้อหาของเว็บไซต์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย รวบรวมความคิดเห็น และฟีเจอร์อื่นๆ ของบุคคลที่สาม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้วิเคราะห์ใช้เพื่อทำความเข้าใจวิธีการที่ผู้เยี่ยมชมโต้ตอบกับเว็บไซต์ คุกกี้เหล่านี้ช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวชี้วัด เช่น จำนวนผู้เข้าชม อัตราตีกลับ แหล่งที่มาของการเข้าชม ฯลฯ

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้ประสิทธิภาพใช้เพื่อทำความเข้าใจและวิเคราะห์ดัชนีประสิทธิภาพหลักของเว็บไซต์ซึ่งจะช่วยให้สามารถมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้นแก่ผู้เยี่ยมชม

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

คุกกี้โฆษณาใช้เพื่อส่งโฆษณาที่ได้รับการปรับแต่งตามการเข้าชมก่อนหน้านี้ และวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณา

ไม่มีคุกกี้ที่จะแสดง

1 เดือน กับ นโยบายทรัมป์ 2.0

          นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (ผอ.สนค.) โฆษกกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ได้ติดตามสถานการณ์การดำเนินนโยบายทรัมป์ 2.0 ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อย่างใกล้ชิด หลังจากกลับเข้าสู่ทำเนียบขาวอีกครั้ง พร้อมให้คำมั่นว่าจะนำสหรัฐฯ “ก้าวเข้าสู่ยุคทอง” และสานต่อนโยบายที่ได้วางรากฐานไว้เมื่อ 8 ปีก่อน โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ การค้า และความมั่นคง ภายใต้แนวคิด AMERICA FIRST หรือ อเมริกาต้องมาก่อน

          ตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เดินหน้านโยบายและมาตรการตามที่ตนได้หาเสียงไว้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะมาตรการด้านการค้าระหว่างประเทศ พลังงาน สิ่งแวดล้อม ตลอดจนมาตรการจัดระเบียบผู้อพยพ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยและโลก ผ่านการออกคำสั่งฝ่ายบริหาร หรือ Executive Order ฉบับสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการค้าระหว่างประเทศ อาทิ

  • การถอนตัวจากข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) และหันมาส่งเสริมการขุดเจาะน้ำมัน การทำเหมือง และการพัฒนาก๊าซธรรมชาติภายในประเทศ เพื่อช่วยลดราคาพลังงาน และบรรเทาภาวะเงินเฟ้อ อย่างไรก็ดี การถอนตัวออกจากข้อตกลงดังกล่าวเป็นที่จับตามองว่า อาจเป็นโอกาสให้จีนก้าวมาเป็นผู้นำ
    ในตลาดพลังงานสะอาด อาทิ พลังงานแสงอาทิตย์ และยานยนต์ไฟฟ้า
  • การปรับขึ้นอัตราภาษีศุลกากรอีก 10% กับสินค้านำเข้าทั่วไปจากจีน มีผลใช้บังคับ
    มาตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 ขณะที่จีนได้ตอบโต้มาตรการภาษีดังกล่าวด้วยการปรับขึ้นอัตราภาษีศุลกากรอีก 15% กับสินค้าถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จากสหรัฐฯ และอีก 10% กับสินค้าน้ำมันดิบ อุปกรณ์ทางการเกษตร และรถยนต์นั่งและรถบรรทุก รวมทั้งออกมาตรการควบคุมการส่งออก
    แร่หายาก (critical minerals) ที่มีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง พลังงานสะอาด และ
    การป้องกันประเทศ
  • การเก็บภาษีศุลกากรในอัตรา 25% กับสินค้านำเข้าทั่วไปจากแคนาดาและเม็กซิโก ยกเว้นสินค้ากลุ่มพลังงานของแคนาดาที่เก็บในอัตรา 10% ซึ่งแต่เดิมกำหนดให้มีผลใช้บังคับในวันที่
    4 กุมภาพันธ์ 2568 แต่ต่อมาได้มีการเลื่อนวันบังคับใช้ออกไปเป็นวันที่ 4 มีนาคม 2568 โดยให้เหตุผลว่าสหรัฐฯ พิจารณาแล้ว เห็นว่า ทั้งสองประเทศได้ดำเนินการอย่างเร่งด่วน เพื่อบรรเทาปัญหาผู้อพยพผิดกฎหมาย และการลักลอบนำเข้ายาเสพติด อย่างไรก็ตาม หากถึงเวลาที่คำสั่งมีผลใช้บังคับ แต่ทั้งสองประเทศไม่สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้อย่างเพียงพอ สหรัฐฯ จะดำเนินมาตรการเก็บภาษีนำเข้าตามที่ได้ระบุไว้
  • การปรับขึ้นภาษีกับสินค้าเหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ และผลิตภัณฑ์อะลูมิเนียม
    นำเข้าจากทุกประเทศ สู่อัตรา
    25% มีผลใช้บังคับวันที่ 12 มีนาคม 2568 อาศัยอำนาจตามมาตรา 232 ของ The Trade Expansion Act 1962 เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กและอะลูมิเนียมภายในประเทศ ถือว่า
    มีผลกระทบต่อคู่ค้าหลายประเทศ ซึ่งเดิมสหรัฐฯ เก็บภาษีกับสินค้านำเข้าดังกล่าวในอัตราที่ต่ำ โดยรวมไม่เกินอัตรา 10% แต่กำลังจะเพิ่มภาษีขึ้นไปกว่า 2 เท่าตัว ย่อมสร้างผลกระทบด้านต้นทุนของผู้ประกอบการ
    อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

          สำหรับผลกระทบต่อไทย มาตรการดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยอย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของเหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ ซึ่งในปีที่ผ่านมามีการส่งออกสินค้าในรายการที่จะถูกใช้มาตรการทางภาษีประมาณ 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐคิดเป็นสัดส่วน 16.8% ของมูลค่าส่งออกเหล็กฯ ไปยังสหรัฐฯ ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกอันดับ 2 ของผลิตภัณฑ์อะลูมิเนียม (รองจากจีน) ซึ่งในปีที่ผ่านมามีมูลค่าส่งออกสินค้าในรายการที่จะถูกใช้มาตรการทางภาษีประมาณเกือบ 380 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 72.8% ของมูลค่าส่งออกผลิตภัณฑ์อะลูมิเนียมไปยังสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ถือว่าไทยได้รับผลกระทบน้อยกว่าโดยเปรียบเทียบ เนื่องจากสหรัฐฯ มุ่งเป้าไปยังประเทศข้างเคียงในทวีปอเมริกา ซึ่งมีตลาดส่งออกสินค้าดังกล่าวกระจุกตัวอยู่ที่ตลาดสหรัฐฯ เกินกว่า 50% ของมูลค่าส่งออกสินค้านั้น ๆ

          นอกเหนือจากมาตรการข้างต้น ยังมีมาตรการอื่น ๆ ที่ไทยต้องเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการเตรียมใช้ภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariff) คาดว่าอาจนำมาใช้ในช่วงเดือนเมษายน 2568 หลังจากที่หน่วยงานต่าง ๆ จะส่งผลการทบทวนและการตรวจสอบการดำเนินนโยบายการค้าของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกไปยังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ รวมถึงการเตรียมผลักดันเสนอร่างกฎหมายการค้าต่างตอบแทนต่อสภาคองเกรสในอนาคต

          ยิ่งไปกว่านั้น ขณะนี้หน่วยงานต่าง ๆ ของสหรัฐฯ กำลังดำเนินการตามข้อสั่งการประธานาธิบดีภายใต้นโยบาย “AMERICA FIRST TRADE POLICY” ที่สั่งการให้กระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการทบทวนนโยบายเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุน กับประเทศคู่ค้าทั่วโลกของสหรัฐฯ และให้รายงานผล ตลอดจนข้อเสนอแนะ และการดำเนินการที่เหมาะสมไปยังประธานาธิบดีภายในเดือนเมษายน 2568 โดยข้อสั่งการสามารถสรุปได้โดยง่าย มี 4 ข้อสั่งการที่สำคัญ คือ (1) ทบทวนและตรวจสอบการค้าของประเทศคู่ค้าทั่วโลก (2) ทบทวนความตกลงทางการค้าของสหรัฐอเมริกา (3) ทบทวนความสัมพันธ์ทางการค้ากับจีน และ (4) ตรวจสอบประเด็นที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ

          นายพูนพงษ์ฯ กล่าวปิดท้ายว่า การศึกษาและติดตามนโยบายของสหรัฐฯ รวมถึงการบริหารงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีความสำคัญยิ่ง โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องประสานความร่วมมืออย่างใกล้ชิด และติดตามนโยบายที่ส่งผลต่อภาคเศรษฐกิจไทย ทั้งในด้านบวกและด้านลบ เพื่อให้สามารถปรับตัวและใช้โอกาสจากมาตรการต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด สร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับภาคธุรกิจไทยในเวทีการค้าระหว่างประเทศ ทั้งนี้ ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์โดยคณะผู้บริหารเยือนสหรัฐฯ เพื่อเร่งหารือกระชับความสัมพันธ์ทั้งกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนของสหรัฐฯ ตลอดจนผลักดันความร่วมมือทางการค้า การลงทุน และเทคโนโลยีร่วมกัน

 

 

 

สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า

กระทรวงพาณิชย์

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

หุ้นได้-เสีย ผ่อนกฎ LTV

หุ้นได้-เสีย ผ่อนกฎ LTV

TRUE จับมือ ททท. กระตุ้นการใช้จ่ายนทท.  ชูแคมเปญ “Grand Songkran Grand Privileges”

TRUE จับมือ ททท. กระตุ้นการใช้จ่ายนทท. ชูแคมเปญ “Grand Songkran Grand Privileges”

ธปท.ผ่อนปรนเกณฑ์ LTV ชั่วคราว ช่วยภาคอสังหาฯ

ธปท.ผ่อนปรนเกณฑ์ LTV ชั่วคราว ช่วยภาคอสังหาฯ

KKP เปิดตัว KKP Lifecare Saving ตอบโจทย์การเงิน-ด้านสุขภาพ

KKP เปิดตัว KKP Lifecare Saving ตอบโจทย์การเงิน-ด้านสุขภาพ

ข่าวล่าสุด

ทั้งหมด