หุ้นวิชั่น- เปิดกระทบต่อภาคธุรกิจรายอุตสาหกรรม ในกรณีที่ไทยโดนภาษีตอบโต้ที่ 36% SCB EIC ได้ออกบทวิเคราะห์ เรื่อง ลุ้นเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ ใน 90 วัน…ต่อลมหายใจธุรกิจไทย แต่ยังไม่ใช่คำตอบสุดท้าย พร้อมชี้ธุรกิจที่จะได้รับผลกระทบเชิงลบในระดับสูง
อันดับแรก คือ อิเล็กทรอนิกส์
ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมในระดับสูง โดยสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่จะได้รับผลกระทบทางตรง ได้แก่
เซมิคอนดักเตอร์ อุปกรณ์สื่อสาร คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ และเครื่องใช้ไฟฟ้า เนื่องจากเป็นกลุ่มสินค้าที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ เป็นหลัก โดยมีสัดส่วนการส่งออกไปยังสหรัฐฯ อยู่ที่ 67%, 59%, 38% และ 30% ตามลำดับ นอกจากนี้ กลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในภาพรวมยังมีแนวโน้มได้รับผลกระทบทางอ้อมจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกจากผลของนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลให้มูลค่าการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในระยะข้างหน้ามีแนวโน้มชะลอลง และแม้แต่ในกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่อยู่ในกระแสนวัตกรรมใหม่ เช่น AI และ EV ก็คาดว่าอาจจะได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของอุปสงค์โลก อย่างไรก็ตาม การเลื่อนการขึ้นภาษีตอบโต้เต็มรูปแบบออกไปอีก 90 วัน อาจจะช่วยบรรเทาผลกระทบเชิงลบในระยะสั้นต่อการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของไทยไปตลาดสหรัฐฯ ในบางหมวดสินค้าเพื่อทดแทนการนำเข้าจากจีน เช่น เซมิคอนดักเตอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น อย่างไรก็ดี ในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 และระยะต่อไป คาดว่าการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของไทยจะต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่สูงขึ้น จากทั้งนโยบายภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ และความเสี่ยงด้านอื่น ๆ ที่อาจเพิ่มสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น ไทยจะต้องเร่งพัฒนาศักยภาพการผลิตไปสู่สินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงอย่างเซมิคอนดักเตอร์ เพื่อป้องกันการย้ายฐานการผลิตออกจากไทย และหนุนให้ไทยก้าวไปสู่การเป็นฮับเทคโนโลยีที่สำคัญของอาเซียน และมีศักยภาพการแข่งขันในตลาดโลกแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
ผลิตภัณฑ์พลาสติก
ได้รับผลกระทบทางตรงในระดับสูง เนื่องจากไทยมีการส่งออกสินค้าสำเร็จรูปประเภทแผ่นฟิล์มพลาสติก ถุง และบรรจุภัณฑ์ ไปยังสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนราว 17-25% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าพลาสติกสำเร็จรูปที่ไทยส่งออกทั้งหมด อีกทั้ง สหรัฐฯ ยังเป็นประเทศที่ไทยส่งออกผลิตภัณฑ์พลาสติกเป็นมูลค่าสูงที่สุดเป็นอันดับ 1 ของมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์พลาสติก
ที่ไทยส่งออกไปทั้งหมด ส่งผลให้ไทยอาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขันกับผู้ผลิตจากประเทศผู้ผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกซึ่งถูกเก็บภาษีในอัตราที่ต่ำกว่า เช่น เกาหลี (25%) หรืออินเดีย (26%) เป็นต้น อย่างไรก็ดี ผลิตภัณฑ์พลาสติก
มีโอกาสได้รับผลเชิงบวกได้ หากสหรัฐฯ เก็บภาษีในอัตราที่เท่ากันทุกประเทศ และยังคงภาษีต่อจีนไว้ที่ 145% เนื่องจากจีนเป็นผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์พลาสติกไปยังสหรัฐฯในลำดับต้น ๆ
เหล็ก
แม้ว่าจะได้รับผลกระทบทางตรงในระดับต่ำแต่จะได้รับผลกระทบทางอ้อมในระดับสูง โดยในส่วนของผลกระทบ
ทางตรงที่ต่ำเนื่องจากไทยยังมีการส่งออกสินค้าเหล็กและผลิตภัณฑ์จากเหล็กไปตลาดโลกเป็นสัดส่วนน้อย อยู่ที่ราว 2% ของมูลค่าการส่งออกรวม โดยมีสัดส่วนส่งออกไปยังสหรัฐฯ ประมาณ 18% ของการส่งออกสินค้าเหล็กทั้งหมดของไทย นอกจากนี้ สินค้าเหล็กไม่อยู่ในกลุ่มที่ถูกใช้อัตราภาษี 36% ตาม Reciprocal tariff แต่อยู่ในกลุ่มที่ต้องเสียภาษีนำเข้าตามมาตรา 232 (ภายใต้กฎหมาย Trade Expansion Act of 1962) ที่ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าเหล็กที่ 25% และถูกใช้อัตรานี้
มาตั้งแต่ปี 2018 อยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม สินค้าเหล็กได้รับผลกระทบทางอ้อมในระดับสูง ทั้งจากการทะลักเข้ามาของเหล็กจากจีนมากขึ้น รวมถึงการที่สหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าสินค้าเหล็กถ้วนหน้าที่ 25% ยังส่งผลให้เหล็กจากญี่ปุ่น และเกาหลีใต้
ที่เคยได้รับการยกเว้นอัตราภาษีในช่วงก่อนปี 2025 มีความเสี่ยงที่จะถูกระบายมาไทยมากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงจากการใช้เหล็กไทยเป็นวัตถุดิบในการผลิตลดลง จากการทะลักเข้ามาของสินค้าปลายน้ำจากจีน เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีเหล็กเป็นส่วนประกอบ ชิ้นส่วนรถยนต์ EV ที่ถูกนำเข้าจากจีนเป็นหลักเกิน 90% จาก FTA ซ้ำเติมให้อัตราการใช้กำลัง
การผลิตเหล็กของไทยอยู่ในระดับต่ำลงกว่าเดิม อีกทั้ง การเข้ามาลงทุนของบริษัทเหล็กจีนในไทยเป็นความเสี่ยงที่ทำให้สินค้าเหล็กจากไทยที่ส่งออกไปสหรัฐฯ อาจถูกตรวจสอบแหล่งกำเนิดสินค้า (Country of origin) เนื่องจากการผลิตเหล็กในไทยใช้วัตถุดิบนำเข้าจากจีนในสัดส่วนที่สูง ซึ่งอาจนำมาสู่การถูกสหรัฐฯ ดำเนินมาตรการกีดกันการค้าผ่านกลไกการเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าสินค้าได้
ยางพารา
ได้รับผลกระทบในระดับสูง เนื่องจากแม้ในปี 2024 ไทยจะมีสัดส่วนการส่งออกยางพาราไปยังตลาดสหรัฐฯ เพียง 9.5% ของปริมาณการส่งออกทั้งหมด แต่ไทยโดนเรียกเก็บภาษีในอัตราที่สูงกว่าประเทศคู่แข่งสำคัญในตลาดสหรัฐฯ
โดยอินโดนีเซีย และโกตดิวัวร์ ซึ่งถูกเก็บภาษีตอบโต้ที่ 32% และ 21% ตามลำดับ นอกจากนี้ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกจะส่งผลให้ความต้องการใช้ยางล้อเติบโตชะลอลงตามไปด้วย ซึ่งจะกดดันราคายางพาราในตลาดโลกและส่งผลเสียต่อรายได้ของอุตสาหกรรม เนื่องจากอุตสาหกรรมยางพารามีการพึ่งพารายได้จากตลาดโลกในระดับสูง สะท้อนได้จากในช่วงปี 2020 – 2024 ที่สัดส่วนปริมาณการส่งออกยางพาราต่อปริมาณผลผลิตยางพาราทั้งหมดของไทยจะอยู่ที่ราว 54.8% – 69.9% ยิ่งไปกว่านั้น การชะลอตัวลงของเศรษฐกิจจีนจะกระทบต่ออุตสาหกรรมยางพาราไทยค่อนข้างมาก เนื่องจากไทยมีการส่งออกยางพาราไปจีนคิดเป็นสัดส่วนสูงถึงราว 32% ของปริมาณการส่งออกทั้งหมดในปี 2024
ไม้ยางพารา
ได้รับผลกระทบในระดับสูง เนื่องจากแม้ในปี 2024 ไทยจะส่งออกไม้ยางพาราไปสหรัฐฯ น้อยมากเพียง 0.004%
ของปริมาณการส่งออกไม้ยางพาราทั้งหมด แต่ไทยจะได้รับผลทางอ้อมในระดับสูงผ่านทางจีน เนื่องจากไทยพึ่งพา
การส่งออกไม้ยางพาราไปตลาดจีนเกือบทั้งหมด โดยในปี 2024 ส่งออกไปจีนคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 97% ของปริมาณการส่งออกทั้งหมด ดังนั้น สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่รุนแรงขึ้นจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกไม้ยางพาราด้วย เนื่องจากไม้ยางพาราเป็นสินค้าขั้นกลางที่จีนนำไปผลิตเป็นเฟอร์นิเจอร์ เพื่อส่งออกไปยังสหรัฐฯ โดยในปี 2024 จีนพึ่งพาการส่งออกเฟอร์นิเจอร์ไปตลาดสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนราว 26% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด ขณะเดียวกัน การชะลอตัว
ของเศรษฐกิจจีนยังส่งผลกระทบต่อความต้องการภายในประเทศเองด้วย
ถุงมือยาง
ได้รับผลกระทบในระดับสูง เนื่องจากไทยมีการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ในระดับสูง โดยในปี 2024 มีสัดส่วนการส่งออก
ไปสหรัฐฯ คิดเป็น 32% ของปริมาณการส่งออกทั้งหมด นอกจากนี้ คู่แข่งสำคัญของไทยอย่างมาเลเซียถูกเก็บภาษีตอบโต้เพียง 24% ทำให้ความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของไทยปรับตัวลดลง ประกอบกับกำลังการผลิตถุงมือยาง
ในมาเลเซียที่มีอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ไทยอาจได้รับผลบวกไม่มาก จากการส่งออกถุงมือยางไปทดแทนสินค้าถุงมือยางจีนในตลาดสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี ผลกระทบเชิงลบต่ออุตสาหกรรมถุงมือยางอาจบรรเทาลงระยะสั้น จากการเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ จนทำให้จีนถูกเก็บภาษีในระดับสูง และไทยกับมาเลเซียถูกเก็บภาษีตอบโต้ในระดับที่เท่ากัน ซึ่งจะช่วยให้ไทยได้ประโยชน์จากการส่งออกถุงมือยางไปสหรัฐฯ เพื่อทดแทนถุงมือยางจีน โดยในปี 2024 จีนส่งออกถุงมือยางไปสหรัฐฯ 16,800 ล้านคู่ (ไทยส่งออก 8,300 ล้านคู่ และมาเลเซียส่งออก 23,200 ล้านคู่) ซึ่งหากมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นจริงก็จะทำให้อุตสาหกรรมถุงมือยางได้รับผลกระทบในระดับต่ำหรือได้รับผลกระทบเชิงบวก
แผงโซลาร์เซลล์และชิ้นส่วนประกอบ
ได้รับผลกระทบทางตรงในระดับสูง เนื่องจากไทยส่งออกแผงโซลาร์เซลล์และชิ้นส่วนประกอบไปยังตลาดสหรัฐฯ เป็นหลัก โดยในปี 2024 มีสัดส่วนอยู่ที่ราว 67% ของการส่งออกทั้งหมด ทั้งนี้มาตรการ Reciprocal tariff 36% คาดว่าจะส่งผลให้การส่งออกไปสหรัฐฯ มีแนวโน้มลดลงไปอีก ซึ่งจะซ้ำเติมผู้ส่งออกที่ถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีจากมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-dumping) ถึง 77.85-154.68% ตั้งแต่ พ.ย. 2024 ที่ผ่านมาที่ส่งผลให้การส่งออกแผงโซลาร์เซลล์และชิ้นส่วนประกอบไปสหรัฐฯ ในเดือน ม.ค.-ก.พ. 2025 ลดลงถึง 50% YOY ดังนั้น หากรวมผลกระทบจาก Reciprocal tariff อีก 36% เข้าไปด้วย คาดว่าจะส่งผลให้มูลค่าการส่งออกแผงโซลาร์เซลล์และชิ้นส่วนประกอบจากไทยไปสหรัฐฯ ในปี 2025 ลดลงเฉลี่ยราว 45-65% ทั้งนี้แม้ไทยจะมีความได้เปรียบจากที่เวียดนามและกัมพูชาที่เป็นคู่แข่งสำคัญโดนเรียกเก็บภาษีนำเข้าโดยรวมมากกว่าไทย แต่ไทยยังคงต้องเผชิญกับการแข่งขันจากประเทศอื่น ๆ เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย และอินเดีย ที่โดนเก็บภาษีการนำเข้าแผงโซลาร์เซลล์และชิ้นส่วนประกอบรวมต่ำกว่า นอกจากนี้ ยังต้องติดตามการแข่งขันจากจีน เวียดนามและกัมพูชาที่อาจมีกลยุทธ์กระจายสินค้าไปยังประเทศอื่นเพื่อลดการพึ่งพาการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้การแข่งขันในตลาดแผงโซลาร์เซลล์รุนแรงมากขึ้น
สินค้าประมง
ได้รับผลกระทบในระดับสูงทั้งทางตรงและทางอ้อม เนื่องจากสินค้ากลุ่มนี้มีการพึ่งพาอุปสงค์จากตลาดโลกในระดับสูง โดยในปี 2024 ไทยมีการส่งออกสินค้าประมงไปยังสหรัฐฯ ราว 14% อีกทั้ง ยังมีการส่งออกไปจีนสูงถึงราว 24% ของการส่งออกทั้งหมดอีกด้วย ดังนั้น ไทยจะถูกกระทบจากมาตรการ Reciprocal tariffs ซึ่งจะบังคับใช้ในอีก 90 วันข้างหน้า ผ่านทั้งช่องทางการส่งออกสินค้าไปยังตลาดสหรัฐฯ โดยตรง รวมทั้งผลกระทบทางอ้อมผ่านการชะลอตัวของอุปสงค์จากจีนและประเทศคู่ค้าอื่น ๆ ร่วมด้วย ทั้งนี้ “กุ้ง” คือสินค้าส่งออกหลักในกลุ่มสินค้าประมง โดยมีจีนและสหรัฐฯ เป็นคู่ค้าอันดับ 1 และ 2 ของไทย สัดส่วนมากถึงราว 36.4% และ 17.2% ของการส่งออกสินค้ากุ้งทั้งหมด ตามลำดับ ซึ่งหากพิจารณาในแง่ศักยภาพการแข่งขันของสินค้ากุ้งไทยในตลาดส่งออกหลักดังกล่าวข้างต้น จะพบว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไทยเริ่มสูญเสียส่วนแบ่งตลาดให้กับคู่แข่งสำคัญที่มีต้นทุนการผลิตต่ำกว่าอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งออกกุ้งแปรรูปไปยังสหรัฐฯ และการส่งออกกุ้งสดแช่เย็นแช่แข็งไปยังจีน ซึ่งแม้ว่าในตอนนี้ทั้งไทยและคู่แข่งจะโดนเก็บภาษีพื้นฐานที่ 10% เท่ากันหมด แต่ด้วยต้นทุนการผลิตและราคาส่งออกกุ้งของไทยที่สูงกว่าคู่แข่งอย่างมีนัยสำคัญเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว SCB EIC จึงประเมินว่าศักยภาพการแข่งขันด้านราคาของกุ้งไทยในสหรัฐฯ ก็จะยังคงด้อยกว่าคู่แข่งในตลาดไม่ต่างไปจากภาพเดิมที่ SCB EIC ประเมินไว้ และจะยิ่งเสียเปรียบคู่แข่งหลักอย่างเอกวาดอร์และอินเดีย (โดนเก็บภาษีที่ 10% และ 26% ตามลำดับ) มากยิ่งขึ้นไปอีกในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 ภายใต้สมมติฐานที่หลังจาก 90 วันนี้ ไทยจะโดนเก็บ Reciprocal tariffs ที่อัตรา 36% ตามที่สหรัฐฯ ได้มีการประกาศไปก่อนหน้านี้
ชิ้นส่วนยานยนต์
ได้รับผลกระทบในระดับสูง เนื่องจากสหรัฐฯ ถือเป็นหนึ่งในคู่ค้าสำคัญที่ครองส่วนแบ่งสูงถึง 1 ใน 4 ของมูลค่าการส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์ของไทย อีกทั้ง การขึ้นภาษีนำเข้าแบบเจาะจงในอัตรา 25% คาดว่าจะทำให้อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์เผชิญความเสี่ยงสำคัญจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ 1) การส่งออกไปยังสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอตัว อันเกิดจากการสูญเสียส่วนแบ่งตลาดให้กับเม็กซิโก ซึ่งมีศักยภาพการแข่งขันในอุตฯ ชิ้นส่วนยานยนต์ใกล้เคียงกับไทย อีกทั้ง ยังมีข้อได้เปรียบด้านต้นทุนการค้า เพราะได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ โดยกลุ่มธุรกิจที่มีแนวโน้มได้รับผลกระทบมากที่สุด ได้แก่ ผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ ล้อรถ และระบบเกียร์ 2) คำสั่งซื้อชิ้นส่วนจากประเทศผู้ผลิตรถยนต์หลัก มีแนวโน้มลดลง โดยเฉพาะญี่ปุ่น ที่มีการนำเข้าชิ้นส่วนยานยนต์จากไทยเพื่อนำไปประกอบยานยนต์และส่งต่อไปยังสหรัฐฯ ทำให้ธุรกิจที่เป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทาน เช่น ผู้ผลิตคลัตช์ เบรก เข็มขัดนิรภัย และถุงลมนิรภัย มีความเสี่ยงจากผลกระทบทางอ้อม และ 3) ทิศทางการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนคาดว่าจะชะลอตัว เนื่องจากนักลงทุนอาจพิจารณาย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศในกลุ่ม USMCA (เช่น เม็กซิโก) ซึ่งยังได้รับยกเว้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ