หุ้นวิชั่น – บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยยามนี้ ต้องยอมรับว่า นักลงทุนยังกล้าๆกลัวๆ ข่าวดีน้อย มีแต่ข่าวร้ายท่วมตลาด วานนี้ (20 มี.ค.2568) แบงก์ชาติปล่อยผี ยอมผ่อนเกณฑ์ LTV เป็นการชั่วคราว ถือว่าเป็นการต่อลมหายใจธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ได้ในระดับหนึ่ง ดีกว่าไม่มีมาตรการกระตุ้นอะไรเลย
สาระสำคัญ มีดังนี้ 1.กำหนดให้เพดานอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกันเป็น 100% สำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ทั้งกรณี(1) มูลค่าหลักประกันต่ำกว่า 10 ล้านบาท ตั้งแต่สัญญากู้หลังที่ 2 เป็นต้นไป(2) มูลค่าหลักประกันตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป ตั้งแต่สัญญากู้หลังที่ 1 เป็นต้นไป 2.การผ่อนคลายนี้ให้เป็นการชั่วคราว สำหรับสัญญาเงินกู้ที่ทำสัญญาตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.2568 ถึง 30 มิ.ย.2569
ด้าน บล.ดาโอ มองเป็นบวก โดยการผ่อนเกณฑ์ LTV จะเป็นผลดีต่อกลุ่ม property ซึ่งจะเป็นการเพิ่มความสามารถในการซื้อให้กับลูกค้าได้มากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการช่วยระบายสต็อกที่อยู่อาศัยได้เร็วขึ้น และส่งผลให้ภาพรวมกลุ่มที่อยู่อาศัยมีการฟื้นตัวได้ดีขึ้น
สำหรับหุ้นที่ประเมินว่า จะได้ประโยชน์มากสุด ได้แก่ SPALI, SIRI, ORI เนื่องจากมี backlog รอโอน และยังมี inventory ค่อนข้างมาก
ส่วนกลุ่มธนาคารก็รับอานิสงส์ไม่น้อยเช่นกัน เพราะจะช่วยให้คนเข้าถึงสินเชื่อบ้านได้มากขึ้น โดยธนาคารที่มีสัดส่วนสินเชื่อบ้านจากมากไปน้อย คือ SCB 32%, TTB 26%, KTB 19%, KBANK 17% ทั้งนี้ ยังคงน้ำหนักการลงทุนลงเป็น “มากกว่าตลาด” โดยเลือก KTB (ซื้อ/เป้า 27.50 บาท), TTB (ซื้อ/เป้า 2.22 บาท) และ BBL (ซื้อ/เป้า 186.00 บาท) เป็นหัวหอก
กลับมาที่ บล.เอเซีย พลัส ได้วิเคราะห์ประเด็นยอดฮิต กรณี GULF ขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่อันดับ 5 ที่สัดส่วน 3.25% ใน KBANK และจะจ่ายปันผลรวม 10.5 บาท/หุ้น (ประกอบด้วยปันผลประจำปี 8.0 บาท/หุ้น XD 17 เม.ย.2568 และปันผลพิเศษ 2.5 บาท/หุ้น XD 15 พ.ค.68) ในวันที่ 6 มิ.ย.2568
ทั้งนี้หาก GULF ถือหุ้นจนถึงวันขึ้นเครื่องหมาย XD จะได้รับเงินปันผลราว 808.5 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนราว 3.8% ของคาดการณ์กำไรปกติปี 2568 ของ GULF ล่าสุด GULF ชี้แจงรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเข้าถือหุ้นว่า เป็นการลงทุนทั่วไปตามนโยบายของบริษัทฯ ซึ่งโดยปกติจะมีportfolio การลงทุนอยู่แล้ว โดยเห็นว่า KBANK เป็นหุ้นที่มีสภาพคล่องสูง, P/BV และ P/E อยู่ในระดับต่ำ, และมีการจ่ายปันผลต่อเนื่องที่ให้dividend yield ราว 7-8%/ปี
ดังนั้น การเข้าลงทุนดังกล่าวจึงมุ่งหวังผลตอบแทนจากปันผล และ upside จากราคาหุ้น KBANK ในอนาคต ทั้งนี้ GULF ได้ทยอยซื้อสะสม KBANK ตั้งแต่ช่วง4Q67 ส่วนของนโยบายการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน KBANK รวมถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดโอกาส synergy ร่วมกันระหว่าง GULF และ KBANK ในอนาคต ปัจจุบัน GULF ยังไม่สามารถให้ข้อมูลเพิ่มเติมในประเด็นดังกล่าวได้ จึงถือเป็นประเด็นที่ยังคงต้องติดตาม
วกเข้ามาที่ กลุ่มหุ้นแบงก์ขนาดใหญ่อีกครั้ง หลังมีการคงดอกเบี้ยของธนาคารกลางต่างประเทศ บล .เอเซียพลัส มองเป็นกลางต่อพอร์ตสินเชื่อ ในต่างประเทศของ BBL (สัดส่วนสินเชื่อต่างประเทศ 25% แบ่งเป็น 10% ในอินโดฯ และ ประเทศอื่นๆ อีก 15%) ส่วนทิศทางดอกเบี้ยนโยบายไทย มองว่าในช่วงครึ่งปีแรกปี2568 มีโอกาสลดได้อีก 1 ครั้ง อย่างไรก็ดีหากการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย ช้ากว่าคาด อาจเห็นการลง ดอกเบี้ยนโยบายได้มากกว่านั้น (เริ่มมีมองไปที่ 1.00% -1.25%)
ส่วนแบงก์ใหญ่ 3 อันดับแรก ที่มีสัดส่วนสินเชื่อ Floating rate สูง จะรับผลจากการเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยนโยบายมากกว่ากลุ่มฯ ได้แก่ BBL ตามด้วย KTB และ KBANK โดย BBL จะมีความสัมพันธ์กับทิศทางอัตราดอกเบี้ยในต่างประเทศ ในขณะที่ KTB และ KBANK มีความสัมพันธ์กับดอกเบี้ยนโยบายไทยมากสุดในกลุ่มและในทางตรงข้ามแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายไทย ที่ลดลงจะดีต่อ KKP และ TISCO รวมถึง Non – Bank(Bond yield ลง) อย่าง MTC SAWAD และ TIDLOR
ขณะที่ แบงก์ใหญ่ ยังมีความน่าสนใจเชิง PBV ต่ำและ Div Yield ราว 6% -9% เน้นตั้งรับ KTB, BBLและ TTB มองว่าการจัดการคุณภาพสินทรัพย์ของ 3 ธนาคาร ทำได้ดีกว่ากลุ่ม ช่วยให้การตั้งสำรองลดลง ชดเชยผลจากรายได้ที่อ่อนแอ ตามวัฎจักรดอกเบี้ย ด้านแบงก์เล็ก ชอบ TISCO มากกว่า KKP ในขณะที่ Non – Bank เลือก MTC มากกว่า TIDLOR (อยู่ระหว่างปรับเป็น Holding ราคาหุ้นอาจผันผวนระหว่างดำเนินการ)
การลงทุน มีความเสี่ยง ผู้ลงทุน ควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจ ลงทุน
ข่าวหัวม่วง by ทีมงานหุ้นวิชั่น