หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุ ถึง BCH ว่า แนวโน้มเป็นบวกหลังผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วใน ไตรมาส 4 ปี 2567 หลังจากที่บริษัทประกาศผลประกอบการ ไตรมาส 4 ปี 2567 ออกมาแล้ว
เรามั่นใจว่ากำไรของบริษัทผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วจากปัจจัยลบต่าง ๆ ที่เข้ามากระทบ ได้แก่
1.รัฐบาลคูเวตไม่ส่งผู้ป่วยมาใช้บริการ
2.ผลกระทบจากการที่สำนักงานประกันสังคม (SSO) ลดค่าบริการรักษาโรคที่ซับซ้อน และ
3.ปัจจัยฤดูกาล โดยประเด็นสำคัญที่น่าสนใจของ BCH มีดังนี้
- ประเด็นการรักษาที่มีต้นทุนสูง เราคิดว่าความเสี่ยงจากการที่ SSO อาจจะลดอัตราการจ่ายค่าบริการรักษาโรคที่ซับซ้อนจบไปแล้ว เพราะคณะกรรมการด้านการแพทย์ของ SSO มีมติให้การันตีอัตราการจ่ายที่ 12,000 บาทตั้งแต่เดือนมกราคม 2568 ทั้งนี้ ผลกระทบจากการลดอัตรา ค่าบริการรักษาโรคที่ซับซ้อนลง (จาก 12,000/RW เหลือ 8,000 บาท) กระทบกับรายได้จากกลุ่ม SSO อย่างมีนัยสำคัญถึง 245 ล้านบาท แต่หากตัดรายการนี้ออกไป
รายได้จาก SSO จะเพิ่มขึ้น 7.1% YoY จากที่เพิ่มขึ้นเพียง 1% YoY ในปี 2567 สำหรับแนวโน้มในปี 2568F รายได้จาก SSO ไม่น่าจะได้รับผลกระทบจากประเด็นค่าบริการรักษาโรคที่ซับซ้อนอีก และคาดว่าจะคิดเป็น 33% ของรายได้รวม
- ประเด็นคูเวต หลังจากที่ขอรายการราคาค่ารักษาจาก WMC มาหลายเดือนรัฐบาลคูเวตยังไม่ส่งผู้ป่วยชาวคูเวตกลับมาใช้บริการของ WMC ยกเว้นผู้ป่วยที่ชำระค่ารักษาเองอย่างไรก็ตาม ประเด็นนี้น่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นว่าผู้ป่วยกลุ่มนี้จะกลับมาหรือไม่หลังเทศกาลรอมฎอน เรามองว่าหากผู้ป่วยชาวคูเวตกลับมาใช้บริการจะทำให้ประมาณการกำไรของเรามี upside เพราะเราไม่ได้คาดว่าจะมีรายได้จากส่วนนี้
- ผลการดำเนินงานของโรงพยาบาลที่เปิดใหม่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง BCH เปิดโรงพยาบาลใหม่สามแห่ง
(เกษมราษฏร์ อินเตอร์เนชั่นแนล อรัญประเทศ, เกษมราษฎร์ ปราจีนบุรี และเกษมราษฏร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เวียงจันท์) ตั้งแต่ช่วงปี 2563-2564 ซึ่งคาดว่าทั้งสามแห่งน่าจะถึงจุดคุ้มทุน หรือเริ่มทำกำไรได้ในปี 2568 เพราะมีเพียงเกษมราษฎร์ ปราจีนบุรีที่มีผลขาดทุนในระดับ EBITDA 29.3 ล้านบาทในปี 2567 คงประมาณการโดยคาดว่ากำไรปี 2568F จะโต 23.2% YoY และปี 2569F จะโต 19.5% YoY เรามองบวกกับแนวโน้มการเติบโตของบริษัทในอีกสองสามปีข้างหน้า โดยจะได้แรงหนุนจาก
1.รายได้ที่เพิ่มขึ้นจากทั้งผู้ป่วยที่ชำระเงินสดและผู้ป่วยประกันสังคม และ
2.ผลการดำเนินงานที่ฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องของโรงพยาบาลใหม่สามแห่ง นอกจากนี้เรายังไม่คิดว่าจะมีปัจจัยลบ (การจ่ายค่า ค่าบริการรักษาโรคที่ซับซ้อน) มากระทบกับประมาณการของเรา ดังนั้นเราจึงยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2568F เอาไว้ที่ 1.58 พันล้านบาท (+23.2% YoY) และปี2569F ที่ 1.89 พันล้านบาท (+19.5% YoY)
Valuation & Action ถึงแม้ว่าราคาหุ้น BCH จะเพิ่มขึ้น 16% จากที่เราแนะนำไว้ก่อนหน้านี้
เรายังคงมองบวกกับประเด็นการพลิกฟื้นของบริษัทในปี 2568F ดังนั้น เรายังคงคำแนะนำซื้อโดยประเมินราคาเป้าหมาย DCF ปี 2568 ที่ 21.50 บาท (WACC ที่ 7.5% และ TG ที่ 3.0%) นอกจากนี้
เรายังเลือก BCH เป็นหุ้นเด่นของเราในกลุ่มนี้