หุ้นวิชั่น – ธนาคารไทยเครดิต จำกัด (มหาชน) หรือ CREDIT แจ้งผลการดําเนินงานของธนาคารในไตรมาส 4 ปี 2567 สามารถทําสถิติสูงสุดใหม่ (New High) ที่ 1,192.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 61.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และกําไรสุทธิของธนาคารในปี 2567 เติบโตได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้งที่ 3,624.0 ล้านบาท ปัจจัยหลักจากอัตราส่วนผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อเฉลี่ย (%Credit cost) ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากสินเชื่อด้อยคุณภาพที่เกิดขึ้นใหม่ลดลงจากการบริหารจัดการและคุณภาพหนี้ที่ดีขึ้น หลังจากที่ธนาคารเพิ่มพนักงานติดตามหนี้ (Collection team) ในช่วงต้นปี โดยรายได้ดอกเบี้ยของธนาคารเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.5 สอดคล้องกับการขยายตัวของเงินให้สินเชื่ออย่างแข็งแกร่งที่ร้อยละ 13.2 เนื่องจากธนาคารสามารถรักษาอัตราการเติบโตของเงินให้สินเชื่อได้อย่างต่อเนื่องท่ามกลางเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวทั่วทุกภาคส่วน จากปริมาณเงินให้สินเชื่อที่เติบโตเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์สินเชื่อหลักของธนาคาร โดยเฉพาะในกลุ่มผลิตภัณฑ์สินเชื่อธุรกิจไมโครเอสเอ็มอี สินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อบ้าน
ภายใต้การดําเนินงานที่ยังเน้นความรอบคอบ ธนาคารมีอัตราส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิแข็งแกร่งอยู่ที่ร้อยละ 8.6 ลดลงเล็กน้อยจาก 8.7 ในปีก่อน เนื่องจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 ส่งผลให้กําไรสุทธิต่อส่วนของเจ้าของในปี 2567 ยังอยู่ในระดับที่สูงเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมที่ร้อยละ 17.88 ทั้งนี้ ธนาคารและบริษัทย่อยตั้งค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตสําหรับเงินให้สินเชื่อที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.8 เพื่อรักษาระดับของ Coverage ratio ในระดับสูงเพื่อรองรับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต
รายได้ดอกเบี้ย
รายได้ดอกเบี้ยของธนาคารเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.1 จากเดิม 15,894.6 ล้านบาท สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2566 เป็น 18,138.0 ล้านบาท สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567 โดยมีสาเหตุหลักมาจากรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้ที่เพิ่มขึ้นเท่ากับ 2,134.2 ล้านบาท เนื่องมาจากปริมาณเงินให้สินเชื่อที่เติบโตเพิ่มขึ้นในกลุ่มผลิตภัณฑ์สินเชื่อหลักของธนาคาร โดยเฉพาะในกลุ่มผลิตภัณฑ์สินเชื่อธุรกิจไมโครเอสเอ็มอี สินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อบ้าน รวมถึงรายได้จากรายการระหว่างธนาคารและตลาดเงิน และเงินลงทุนในตราสารหนี้ที่เพิ่มขึ้น
ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย
ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยของธนาคารเพิ่มขึ้นร้อยละ 32.9 จากเดิม 2,564.0 ล้านบาท สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2566 เป็น 3,408.8 ล้านบาท สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567 โดยมีสาเหตุหลักมาจากค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยจากเงินรับฝากที่เพิ่มขึ้นเท่ากับ 668.1 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องมาจากปริมาณเงินฝากที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะโปรแกรมเงินฝากออมทรัพย์อัลฟา โปรแกรมเงินฝากประจำ และเงินฝากประจำทันใจ ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายเงินนำส่งสถาบันคุ้มครองเงินฝากและ ธปท. เพิ่มขึ้นเท่ากับ 51.9 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน
รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ
ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ส่งผลให้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิของธนาคารในปี 2567 เท่ากับ 14,729.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.5 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน
รายได้ (รายจ่าย) ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ
รายจ่ายค่าธรรมเนียมและบริการของธนาคารสุทธิ เท่ากับ 260.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 191.9 ล้านบาท หรือร้อยละ 278.8 จากงวดเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากค่าธรรมเนียมการค้ำประกันเงินให้สินเชื่อ (บสย.) เพิ่มขึ้น สอดคล้องกับการปล่อยสินเชื่อใหม่ที่เพิ่มขึ้นของเงินให้สินเชื่อไมโครเอสเอ็มอี และสินเชื่อนาโนและไมโครเครดิต
ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอื่นๆ ของธนาคาร เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.9 จากเดิม 4,945.3 ล้านบาท สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2566 เป็น 5,830.7 ล้านบาท สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567 โดยมีสาเหตุหลักมาจากค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงานที่เพิ่มขึ้น 567.8 ล้านบาท สอดคล้องกับจำนวนพนักงานที่เพิ่มขึ้นตามการเติบโตของธนาคาร รวมทั้งการขยายสาขาเงินฝาก โดยในปี 2567 ธนาคารมีจำนวนสาขาเงินฝากเพิ่มขึ้น 2 สาขา ที่เมกาบางนา และสยามพารากอน รวมเป็นทั้งหมด 30 สาขา และการเพิ่มพนักงาน RM และพนักงานเก็บเงินและเร่งรัดหนี้สินและกฎหมาย (Collection) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการติดตามหนี้ได้มากขึ้น ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอาคารและอุปกรณ์เพิ่มขึ้น 80.5 ล้านบาท จากการลงทุนเพื่อปรับปรุงและพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศในการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัลและโครงสร้างพื้นฐานด้านความปลอดภัยของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างต่อเนื่อง และค่าภาษีอากรที่เพิ่มขึ้น 70.0 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับจำนวนธุรกรรมสัญญาของธนาคารที่สูงขึ้น รวมไปถึงการทำการตลาดออนไลน์มากขึ้น อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอื่นๆ ต่อรายได้จากการดำเนินงานของธนาคารยังอยู่ในระดับต่ำ เมื่อเทียบกับอุตสาหกรรม ที่ร้อยละ 39.9 สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567 ธนาคารตั้งผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจำนวน 4,248.9 ล้านบาท สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567 เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.6 เมื่อเปรียบเทียบกับผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจำนวน 4,062.4 ล้านบาท สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2566 ซึ่งสอดคล้องกับการเติบโตของเงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้
อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อเฉลี่ยลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นกลับสู่ภาวะปกติในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2024 ปัจจัยหลักมาจากสินเชื่อด้อยคุณภาพที่เกิดขึ้นใหม่ลดลงจากการบริหารจัดการและคุณภาพหนี้ที่ดีขึ้น หลังจากที่ธนาคารเพิ่มพนักงานติดตามหนี้ (Collection team) ในช่วงไตรมาสที่ 1 ปี 2567 เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการดูแลลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น จากการตั้งสำรองข้างต้น ส่งผลให้อัตราส่วนผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อเฉลี่ยของธนาคารลดลงอยู่ที่ 265 bps สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567 เทียบกับ 294 bps สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2566
กำไรสำหรับปี/งวด
กำไรสำหรับปีสุทธิงวดปี 2567 เท่ากับ 3,624.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 จากเดิม 3,556.8 ล้านบาท สำหรับงวดปี 2566 ปัจจัยหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยรับที่เพิ่มสูงขึ้น สอดคล้องกับเงินให้สินเชื่อที่สูงขึ้นของธนาคาร
อย่างไรก็ตาม กำไรต่อหุ้นของธนาคารเท่ากับ 2.95 บาทต่อหุ้นในปี 2567 ลดลงเล็กน้อยจาก 3.05 บาทต่อหุ้นในปี 2566 เป็นผลมาจากจำนวนหุ้นสามัญ (Paid-up capital) ที่เพิ่มขึ้นจาก 1,164,583,332 หุ้น เป็น 1,234,839,222 หุ้น จากการเพิ่มขึ้นของทุนที่ออกและชำระแล้วจากการเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) และการใช้สิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุนของธนาคาร ซึ่งออกให้แก่ผู้บริหารระดับสูง หรือ MSOP ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 ค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นสำหรับเงินให้สินเชื่อเท่ากับ 10,739.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 865.8 ล้านบาท หรือร้อยละ 8.8 จากงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งสอดคล้องกับการเติบโตของเงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้
อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพเท่ากับร้อยละ 148.6 ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 ลดลงจากร้อยละ 161.4 ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 โดยธนาคารมีการติดตามคุณภาพพอร์ตสินเชื่อและความสามารถในการชำระหนี้อย่างรอบคอบ เพื่อรักษาความมั่นคงทางการเงินของธนาคาร และเพิ่มความสามารถในการรองรับความเสี่ยงในอนาคต
สินเชื่อด้อยคุณภาพก่อนหักค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (gross NPLs)
สินเชื่อด้อยคุณภาพก่อนหักค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (gross NPLs) เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.2 จากเดิม 6,115.6 ล้านบาท ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 เป็น 7,228.4 ล้านบาท ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 และอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพก่อนหักค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (gross NPLs ratio) เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดิมร้อยละ 4.2 ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 เป็นร้อยละ 4.4 ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567
ตามการคาดการณ์ของธนาคาร ซึ่งยังอยู่ในเกณฑ์ที่บริหารจัดการได้ โดยมีสาเหตุหลักมาจากมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้จาก ธปท. หมดโครงการลงในปี 2566 ส่งผลให้สินเชื่อด้อยคุณภาพมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น รวมถึงสภาวะเศรษฐกิจในประเทศภาพรวมที่ยังคงไม่แน่นอน ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อธนาคารในอนาคต
คุณภาพสินเชื่อและความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ธนาคาร เช่น แนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่คาดว่าฟื้นตัวช้า สัดส่วนหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และความไม่แน่นอนทางด้านนโยบายเศรษฐกิจและการเมือง
เงินรับฝากของธนาคาร ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 เท่ากับ 132,599.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15,837.9 ล้านบาท หรือร้อยละ 13.6 จากงวดเดียวกันของปีก่อน มีสาเหตุหลักมาจากการเติบโตอย่างมากในผลิตภัณฑ์เงินฝากประจำเพิ่มขึ้น 15,926.2 ล้านบาท หรือร้อยละ 19.9 รองรับการเติบโตของเงินให้สินเชื่อที่เพิ่มมากขึ้น รวมถึงธนาคารมีการเปิดสาขารับเงินฝากเพิ่ม 2 สาขาในปี 2567
ทั้งนี้ ลูกค้าเงินฝากยังคงมีการฝากเงินกับที่ธนาคารอย่างต่อเนื่อง โดย Rollover rate สำหรับลูกค้าบัญชีเงินฝากทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 ยังอยู่ในระดับสูงที่ร้อยละ 95.9 สัดส่วนเงินฝากกระแสรายวันและเงินฝากออมทรัพย์ต่อเงินฝากรวม (CASA) เท่ากับร้อยละ 27.5 ลดลงเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากเงินฝากประจำเพิ่มขึ้นมากกว่าเงินฝากกระแสรายวันและเงินฝากออมทรัพย์
อย่างไรก็ตาม สัดส่วนเงินให้สินเชื่อต่อเงินรับฝากของธนาคารยังคงอยู่ในระดับสูงที่ร้อยละ 123.0 ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 ลดลงจากร้อยละ 123.5 ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566
ส่วนของเจ้าของของธนาคาร ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 เท่ากับ 23,032.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.6 จากเดิม 17,505.1 ล้านบาท ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 โดยมีสาเหตุหลักมาจากหุ้นสามัญและส่วนเกินมูลค่าหุ้นสามัญที่เพิ่มขึ้นจากการที่ธนาคารมีการเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ในเดือนกุมภาพันธ์ 2567
การเพิ่มขึ้นของทุนที่ออกและชำระแล้วจากการใช้สิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุนของธนาคาร ซึ่งออกให้แก่ผู้บริหารระดับสูง (MSOP) รวมถึงการเพิ่มขึ้นของกำไรที่เกิดขึ้นระหว่างงวด
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 ธนาคารมีเงินกองทุนตามกฎหมาย ตามหลักเกณฑ์ Basel III ทั้งสิ้นจำนวน 24,470.6 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินกองทุนตามกฎหมายชั้นที่ 1 จำนวน 21,338.2 ล้านบาท ทั้งนี้ เงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันปีที่แล้ว ปัจจัยหลักมาจากหุ้นสามัญและส่วนเกินมูลค่าหุ้นสามัญที่เพิ่มขึ้นจากการที่ธนาคารมีการเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) และแบ่งเป็นเงินกองทุนตามกฎหมายชั้นที่ 2 จำนวน 3,132.4 ล้านบาท
นอกจากนี้ ธนาคารมีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงรวมทั้งหมดอยู่ที่ร้อยละ 17.7 มีอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ร้อยละ 15.4 และมีอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ร้อยละ 14.8 ซึ่งสูงกว่าอัตราขั้นต่ำตามที่ ธปท. กำหนดไว้ที่ร้อยละ 11.0 ร้อยละ 8.5 และร้อยละ 7.0 ตามลำดับ